28 ธันวาคม 2557

Day 7: Fuji Shibazakura Festival

Day 1: Osaka กุหลาบงามกลางเดือนพฤษภาคม
Day 2: Osaka Amazing Pass
Day 3-4: Kyoto Aoi Matsuri
Day 5: Nara and Night bus to Kawaguchiko
Day 6: Kawaguchiko มาปั่นจักรยานกันเถอะ
Day 7: Fuji Shibazakura Festival
Day 8-11: Tokyo (1)
Day 8-11: Tokyo (2) - Kawasaki

∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇

เมื่อวานนี้ เราใช้โชคที่มีหมดไปกับการได้เห็นฟูจิซังทั้งวันกันไปแล้ว วันนี้เราเจอแต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันทั้งวัน เชื่อมั่นว่าเราเป็น 1 ใน 1000 ที่มาญี่ปุ่นแล้วเจอสถานการณ์ทั้งหลายนี้ในวันเดียว!

แพลนของวันนี้คือ การไปชมเทศกาลดอกชิบะซากุระ หรือ Pink moss

Website official ของ Fuji Shibazakura Festival >> http://www.shibazakura.jp/eng/index.html
(มีหน้าภาษาไทยด้วย แต่แนะนำว่าดูหน้าภาษาอังกฤษดีกว่าค่ะ หน้าภาษาไทยอ่านแล้วงงมาก)

Fuji Shibazakura Festival เป็นเทศกาลการชมดอกชิบะซากุระที่จะจัดขึ้นในช่วงปลายเดือนเมษายนถึงประมาณสิ้นเดือนพฤษภาคมของทุกปี จุดเด่นของที่นี่อยู่ที่การมีดอกชิบะซากุระกว่า 800,000 ดอกและมีฉากหลังเป็นภูเขาไฟฟูจิ
ในแต่ละปี ช่วงเวลาที่จะเปิดให้เข้าชมนั้นจะไม่ตรงกัน ต้องคอยติดตามข่าวสารให้ดี

ในปี 2014 เทศกาลนี้เปิดให้เข้าชมตั้งแต่วันที่ 19 เมษายน - 1 มิถุนายน
แต่ช่วงที่สวยจริงๆ จะเป็นช่วงต้น-กลางพฤษภาคม ที่ดอกไม้จะบานพอดี 

สำหรับการเดินทางมาที่นี่
หลักๆ คือจะมีรถบัสจาก Kawaguchiko station ตรงไปที่บริเวณงาน Fuji Shibazakura Festival  (ใช้เวลาประมาณ 30 นาที)
โดยหากเราซื้อเป็นแพ็คเกจ ตั๋วรถไป-กลับ + ค่าเข้าชม จะอยู่ที่ราคา 1,900 เยน
หรือหากเริ่มต้นจากโตเกียว ที่ Shinjuku จะมีรถบัสที่ตรงมาที่งานนี้เลยโดยไม่ต้องมาต่อรถที่ Kawaguchiko station (สามารถดูรายละเอียดได้จากใน website Fuji Shibazakura Festival ข้างต้นค่ะ)

คำเตือน งานนี้เป็นงานที่ทั้งนักท่องเที่ยวและคนญี่ปุ่นเองให้ความสนใจอย่างมาก สิ่งที่เกิดขึ้นคือ รถติดมากกกกกก กรุณาคำนวณเวลาให้ดี 
30 นาทีจาก Kawaguchiko station ตามที่เว็บบอกนั้นเป็นเวลาที่ไม่รวมรถติดนะจ้ะ 
เราไปรถเที่ยวเช้าวันจันทร์ รถยังติดไม่มากค่ะ (อยู่กรุงเทพฯ จนชิน เรื่องรถติดนี่สบายมาก) ใช้เวลาประมาณชั่วโมงนึง แต่คุยกับพี่คนไทยคนหนึ่งที่เจอโดยบังเอิญ พี่เค้าไปงานนี้มาก่อนเรา เค้าบอกว่าเค้าไปช่วงบ่ายวันอาทิตย์รถติดอยู่ 2 ชั่วโมง ทำเอาเวลาที่วางไว้รวนหมดเลย

ตอนเช้าเราออกจาก K's house ไป Kawaguchiko station โดยรถของทางโรงแรม (ถ้าจะพูดให้ถูก คือ Hostel) 
สำหรับคนที่พักที่ K's house สามารถนั่งรถของทางโรงแรมได้ 2 ครั้ง คือ 
ขาไปเช็คอิน สามารถแจ้งเวลาให้รถไปรับที่ Kawaguchiko station ได้ 
ขาเช็คเอ้าท์ออก ถ้าต้องการให้รถไปส่ง จะต้องไปลงชื่อที่เคาท์เตอร์เช็คอินก่อนนะคะ โดยเฉพาะหากต้องการไปเที่ยวเช้า (รถรับคนได้จำนวนจำกัด)

เรื่องเล่าระหว่างรีวิว ตอนนั่งรถของ K's house ได้มีโอกาสคุยกับหนุ่มมาเลเซียคนนึง เค้าถามถึงสถานการณ์การเมืองของประเทศไทย พวกเราก็ตอบเค้าไปว่ามันโอเคอยู่ ไม่ได้มีความรุนแรงอะไร ......2-3 วันหลังจากนั้น เกิดรัฐประหารเลยจ้าาาาา ออกข่าว TV ที่ญี่ปุ่นด้วย เป็นประสบการณ์แปลกๆ ดีที่ต้องมานั่งดูข่าวรัฐประหารประเทศตัวเองที่ต่างประเทศ

หลังจากรถมาส่งที่ Kawaguchiko station แล้ว เราก็จัดการเอากระเป๋าไปฝากไว้ที่ coin locker ของสถานี (อย่างที่บอกไปแล้วในบล็อกที่แล้ว จุดที่สามารถฝากกระเป๋าได้มี 2 จุดนะจ้ะ) แล้วไปซื้อตั๋วเพื่อไปที่งาน Fuji Shibazakura Festival กันค่ะ

ตั๋วของเราเป็นรถเที่ยวแรกที่จะออกเดินทางไปที่ Fuji Shibazakura Festival เลยค่ะ (ถ้าจำเวลาไม่ผิดคือประมาณ 9 โมง) แต่ตอนที่เราไปซื้อเป็นช่วงที่ใกล้จะถึงเวลารถออกแล้ว ทำให้ต้องยืนค่ะ ไม่มีที่นั่ง (ถ้าใครอยากนั่งหรือมีผู้สูงอายุไปด้วย แนะนำให้ไปเร็วหน่อยนะคะ เพราะเราไม่รู้เลยว่ารถจะติดแค่ไหน ต้องยืนอีกนานเท่าไหร่)

สำหรับคนที่จะไปโตเกียวหรือโอซาก้าโดยรถบัสอาจจะซื้อตั๋วรถบัสที่สถานีก่อนที่จะไปงานเลยก็ได้นะคะ ระหว่างรถติดอยู่นั้น เลยได้คุยกับหนุ่มมาเลย์คนเดิม เค้าบอกว่าเค้าจะไปโอซาก้าต่อและจองตั๋วรถเอาไว้แล้ว 
แต่อันนี้ แทนที่จะเป็นข้อดี อาจเป็นข้อเสียได้ค่ะ เพราะเค้าจองเที่ยวประมาณเที่ยงเอาไว้ ซึ่งพอปรากฏว่ารถติด กว่าจะถึงที่งานก็ 10 โมงนิดๆ แล้ว ต้องเผื่อเวลาขากลับอีก ทำให้มีเวลาอยู่ที่งานน้อยนิดค่ะ ต้องเร่งกัน เพราะฉะนั้น ต้องกะเวลาดีๆ

ส่วนเรากับเพื่อนผู้ซึ่งไม่มีการเตรียมการใดๆ ทั้งสิ้น กลับชิลสุดๆ เดินกันไปเรื่อย ถ่ายรูปกันไปเรื่อย

แต่
......
....
...
..

ฟูจิซังงงงงงงง ยูหายไปไหน
ไม่มาปรากฏกายให้เห็นเลย เศร้าสุดๆ T^T
เลยต้องถ่ายรูปฟูจิน้อยไปแทน


บริเวณงานค่อนข้างกว้างมากนะคะ ต้องใช้เวลาเดินสักหน่อย
แล้วถ้าเดินจนเหนื่อยแล้ว ในบริเวณงานยังมีจุดขายอาหารด้วย

จุดที่ขายอาหาร
เสียดายที่ตอนนั้นกำลังมึนๆ งงๆ กับการซื้ออาหารอยู่เลยไม่ได้ถ่ายรูปมาค่ะ
วิธีการซื้ออาหาร คือ มันจะมีตู้สำหรับกดสั่งอาหารอยู่ค่ะ เราต้องไปที่นี่ก่อน
กดสั่งอาหารที่เราต้องการซื้อและจำนวนเข้าไป แล้วก็ใส่เงินเข้าไป (วิธีใช้ไม่ยากค่ะ เชื่อมั่นว่าทุกคนทำได้) จากนั้นเครื่องจะให้บัตรสั่งอาหารกับเรามา (แน่นอนว่ามีแต่ภาษาญี่ปุ่น ดูรูปเอาค่ะ)

เราต้องเอาบัตรนี้ไปยื่นที่ร้านที่ขายอาหารค่ะ ซึ่งแต่ละร้านจะแยกกัน 
ปัญหามันเกิดตรงนี้แหละ 
เนื่องจากบัตรที่ได้มา มันมีแต่ภาษาญี่ปุ่น ทำให้เรางงค่ะ ว่าเราต้องยื่นใบไหนให้กับร้านไหน ดังนั้น สิ่งที่เราทำคือยื่นทุกใบให้คนรับออเดอร์ดู ให้เค้าหยิบเอาเองว่าอันไหนเป็นเมนูที่ร้านเค้าทำ 5555+

เมนูแนะนำ : Soft serve ice-cream ซากุระ

ขากลับ เรากับเพื่อนก็นั่งรถกันกลับ Kawaguchiko station กันอย่างปกติสุข 
ทุกอย่างดูโอเค 

พอถึงสถานี เราก็จัดการไปซื้อตั๋วรถบัสเพื่อไปโตเกียว
ระหว่างนั้นเอง เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น !!!!!!!!

เพื่อนเราค้นพบว่ากระเป๋าตังค์นางหายค่ะ !!!!!

คราวนี้ล่ะเรื่องใหญ่เลย เข้าใจว่าน่าจะหายตั้งแต่ตอนอยู่บริเวณงานแล้วค่ะ ต้องติดต่อที่โน่นที่นี่เยอะแยะไปหมด ทั้ง Information, Tourist Information และแจ้งไปที่บริเวณงานเพื่อให้เค้าช่วยหาให้ (บริเวณงานก็กว้างใหญ่เหลือเกิน ..จะเจอได้ยังไง)
ถามเพื่อนเรา เพื่อนค่อนข้างมั่นใจว่าไม่ได้ทำตกเอง แต่ถูกล้วงกระเป๋า (อันนี้มีปัจจัยเยอะที่ทำให้คิดได้แบบนี้ แต่ขอข้ามไป)
เงินในกระเป๋ามีค่อนข้างมากด้วยค่ะ รวมเงินเยนและเงินบาทเป็นเงินเกือบ 20,000 บาท (ไม่นับมูลค่ากระเป๋าตังค์) .....อันนี้ เป็นความซวยอีกข้อหนึ่งค่ะ ปกติ เรากับเพื่อนจะแยกเงินเก็บไว้หลายที่ พอเงินในกระเป๋าใกล้จะหมดถึงหยิบเงินสำรองมาใส่กระเป๋าเพิ่ม ซึ่งตอนเช้าวันนี้เองที่เพื่อนเราเพิ่งหยิบเงินมาใส่กระเป๋าเพิ่ม

พอเกิดเรื่องขึ้น เราเลยต้องจัดการไปเลื่อนตั๋วรถบัสที่เพิ่งซื้อมาค่ะ ซึ่งทางพนักงานก็ให้เลื่อนได้ไม่มีปัญหา ตอนแรกเรากะเลื่อนตั๋วเป็น 5-6 โมงเย็น แต่ปรากฏว่าทางพนักงานแจ้งว่ารถเที่ยวเย็นถูกจองไว้ล่วงหน้าหมดแล้วค่ะ เที่ยวสุดท้ายที่ยังว่างอยู่คือบ่าย 3 โมง 
(ดังนั้น ใครไป Kawaguchiko ช่วงมีงานนี้ ขากลับแนะนำให้จองตั๋วล่วงหน้านะคะ มันเต็มง่ายมากเลย)

หลังจากแจ้งทุกคนที่น่าจะแจ้งได้ในบริเวณ Kawaguchiko station แล้วก็พบว่าเค้าคงช่วยอะไรไม่ได้มากกว่านี้ค่ะ แม้แต่จะช่วยประสานกับที่บริเวณงาน Fuji Shibazakura Festival ยังช่วยไม่ได้เลย ให้เพื่อนเราไปติดต่อเอง 
(ตอนแรกที่ Tourist Information มีเจ้าหน้าที่คนนึงพยายามจะช่วยติดต่อให้ค่ะ ดีมากๆๆเลย แต่เจ้าหน้าที่อีกคนเดินมาตัดบท เหมือนว่าไม่ใช่หน้าที่ที่เค้าจะช่วยอ่ะค่ะ แล้วบอกให้เพื่อนเราไปติดต่อเอง ....อารมณ์นั้นคือรู้สึกว่านางใจร้ายมากๆ เงิบสุดๆ)

ระหว่างกำลังวุ่นๆ อยู่นั้นเอง เพื่อนเราไลน์คุยกับเพื่อนที่เป็นคนญี่ปุ่นค่ะ เค้าแนะนำให้ไปแจ้งความที่สถานีตำรวจเลย

เรากับเพื่อนเลยจัดการหาวิธีไปสถานีตำรวจกันโดยด่วน

ปรากฏว่าพอไปถึงสถานีตำรวจ คุณตำรวจที่อยู่ที่สถานีทั้งสองคนพูดอังกฤษไม่ได้เลย T^T รัวญี่ปุ่นใส่เราอยู่ตลอดเวลา
แต่คุณตำรวจน่ารักมากๆ ค่ะ ต่อสายให้เพื่อนเราคุยกับใครสักคน เข้าใจว่าน่าจะเป็นตำรวจท่องเที่ยว หรือคนของกรมตำรวจกลาง อะไรประมาณนี้

คุยกันนานมากกกกกกกกก
เพราะคุณตำรวจทางโทรศัพท์ถามละเอียดมากๆๆๆ 
กระเป๋าเงินลักษณะยังไง มีเงินเท่าไหร่ สกุลอะไรบ้าง บัตรที่มีอยู่ในกระเป๋าเป็นบัตรอะไรบ้าง จำเลขที่บัตรได้มั้ย ขนาดพวกบัตรของธนาคารยังถามเลยว่าธนาคารอะไร เป็นบัตรประเภทไหน passport ยังอยู่มั้ย (ดีที่ passport ไม่หายไปด้วย ไม่งั้นวุ่นกว่านี้อีก) มาญี่ปุ่นกับใคร จะกลับเมืองไทยเมื่อไหร่ มีที่พักแล้วหรือยัง ขอที่อยู่ของโรงแรมที่เราจะไปพักในวันต่อไป บลาๆๆๆ
หรือแม้แต่ถามว่า คุณจะใช้ชีวิตอยู่ต่อไปในญี่ปุ่นได้มั้ย  ....ซึ่งแน่นอนว่าเพื่อนเราตอบว่าได้ เพราะมีเราอยู่อีกคน 
แต่เราก็แอบสงสัยมากว่า ถ้าตอบว่าไม่ได้ แล้วทางคุณตำรวจจะทำยังไง

หลังจากนั้น คุณตำรวจก็แจ้งเลขที่เคสให้เพื่อนเรา พร้อมเบอร์โทรติดต่อ เพื่อเอาไว้ตามสอบถามได้ว่าเคสไปถึงไหนแล้ว 

โอ้ มายก็อดดดดดดด

อยากให้เมืองไทยมีแบบนี้บ้างจัง

ส่วนคุณตำรวจสองคนที่สถานีก็น่ารักมากค่ะ ถึงจะพูดอังกฤษไม่ได้ แต่ก็พยายามสื่อสารกับเรา 
แถมตอนจะกลับ อุตส่าห์เดินออกไปส่งจนถึงป้ายรถบัสเลยทีเดียว
(ระหว่างที่อยู่ที่สถานีตำรวจที่นี่ มีคนจอดรถมาถามทางคุณตำรวจเยอะมาก ...เป็นที่พึ่งของประชาชนทุกเรื่องจริงๆ)

อันนี้ เพิ่งมาเห็นตอนหลังค่ะ อยู่บนโต๊ะคุณตำรวจ 


เรื่องความโชคร้ายในวันนี้ มันเหมือนจะจบใช่มั้ยคะ

แต่มันยังไม่จบค่ะ

ขอตัดฉับ มาที่สถานี Shinjuku ที่โตเกียวเลย

แน่นอนว่าถ้าใครเคยไปที่นี่ จะรู้เลยว่าสถานี Shinjuku เป็นสถานีที่ใหญ่มากกกกกกกกก
สายรถไฟอะไรไม่รู้พันกันมั่วไปหมด คนก็เยอะแยะมากมายมหาศาล

ลองคิดภาพผู้หญิงไทยสองคนพร้อมกระเป๋าใหญ่เท่าบ้านคนละใบยืนเอ๋อกันอยู่ในสถานีในเวลาเลิกงานของญี่ปุ่น พร้อมกับความอ่อนเพลียกับเรื่องที่เจอมาทั้งวัน

กว่าเรากับเพื่อนจะหาทางที่จะเข้าสายรถไฟที่ถูกต้องได้ก็เดินลากกระเป๋ากันจนเหนื่อย

และภารกิจต่อไปของเรา คือ การซื้อบัตร Suica

ระหว่างที่เรากำลังยืนด้อมๆมองๆ อยู่หน้าตู้ขายตั๋วนั่นเอง ก็มีชายคนหนึ่ง แต่ตัวปอนๆ เหมือนเป็น Homeless เข้ามาหาเพื่อนเรา

ตอนนั้นเรามีภาพรายการ "หนังพาไป" ขึ้นมาในหัวเลย (ใครเคยดูคงจำได้ว่าพี่บอลกับพี่ยอดเคยโดยคนที่มาช่วยซื้อตั๋วยึดเงินทอนไปแบบงงๆ)
เราคิดในใจว่า ชัวร์เลย โดนแล้ว 
แต่เพื่อนเรานางกำลังเอ๋ออยู่ค่ะ พอเห็นคนทำท่าจะช่วย นางก็โอเค ปล่อยให้เค้าช่วยไป ซึ่งเค้าก็ช่วยจริงๆ ค่ะ 
และพอช่วยซื้อเสร็จเท่านั้นล่ะ เค้าก็พยายามขอเงินเพื่อนเรา
(เราซื้อบัตร Suica และเติมเงินเต็มจำนวนพอดี ไม่มีเงินทอนใดๆ)

ลองนึกภาพตาม
ผู้หญิงคนหนึ่งจากบ้านจากเมืองมาสู่เมืองท่องเที่ยวที่รับประกันความปลอดภัยมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ได้สูญเสียเงินไปเกือบ 20,000 บาท ณ สถานที่ที่ทุกคนบอกว่า "ของหายได้คืน" และในวันเดียวกันนั้นเอง หญิงผู้นั้นได้ถูกชายผู้หนึ่งขอเงินค่าที่ให้ความช่วยเหลือเธอในการซื้อตั๋วรถไฟ

ถามว่า คิดว่านางจะให้มั้ยคะ

แน่นอนค่ะ ว่า ไม่ !!!

นางตีมึนและพยายามบอกกับชายผู้นั้นว่า นางก็เพิ่งกระเป๋าเงินหายมาเหมือนกัน (นะโว้ยยยย) 

กว่าจะถึงโรงแรมแน่นอนว่าค่ำแล้ว (วันนี้ เราจะพักกันที่ Toyoko inn Tokyo Akiba Asakusabashi-eki Higashi-guchi)

แต่ความดราม่าของเรากับเพื่อนก็ยังไม่จบลง

หลายคนคงเริ่ม ห๊า ว่ายังไม่จบอีกเหรอ

อย่างที่บอกไปว่า เรากับเพื่อนมาทริปนี้แบบกะทันหันมากๆ จองโรงแรมยังไม่ครบวันเลย ซึ่งวันนี้แหละค่ะเป็นวันสุดท้ายที่เราจองโรงแรมไว้
วันต่อๆ ไป โรงแรมไม่ว่างเลยค่ะ ต้องหาโรงแรมกันคืนนี้นี่แหละ ซึ่งหายากหาเย็นมากที่จะมีวันว่างต่อกัน 4 วัน ราคารับได้ไม่เกินงบ และอยู่ในย่านที่โอเค ปลอดภัย

แต่ในที่สุด ก็หาได้ค่ะ ใช้เวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมงในการหา แถมยังไลน์ลากให้เพื่อนที่เมืองไทยช่วยกันหาอีกต่างหาก

จบวันนี้ด้วยความดราม่าสุดๆ

จะมีสักกี่คนที่ไปญี่ปุ่น ไม่เห็นฟูจิซัง ของหายแล้วไม่ได้คืน ต้องขึ้นโรงพัก มีเลขคดีเป็นของตัวเอง ถูก homeless ขอเงินค่าช่วยเหลือในการกดบัตร suica แถมดราม่าเรื่องที่พัก ในวันเดียวกัน

เชื่อเถอะค่ะ ว่ามีแค่อิสองนางนี้เท่านั้นแหละ ....โดยเฉพาะ เพื่อนเรา เรื่องนี้นางน่าสงสารที่สุดในสามโลก

26 พฤศจิกายน 2557

Day 6: Kawaguchiko มาปั่นจักรยานกันเถอะ

Day 1: Osaka กุหลาบงามกลางเดือนพฤษภาคม
Day 2: Osaka Amazing Pass
Day 3-4: Kyoto Aoi Matsuri
Day 5: Nara and Night bus to Kawaguchiko
Day 6: Kawaguchiko มาปั่นจักรยานกันเถอะ
Day 7: Fuji Shibazakura Festival
Day 8-11: Tokyo (1)
Day 8-11: Tokyo (2) - Kawasaki

∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇

ความเดิมตอนที่แล้ว
เราเดินทางออกจากเกียวโตมายังคาวากูจิโกะโดย night bus 
ตอนออกจากเกียวโต ล้อรถหมุนตามเวลาเป๊ะเลย คือ 23.18 น.
และตามตารางเวลา เราจะต้องเดินทางมาถึง Kawaguchiko station ตอน 8.23 น.

ตอนอยู่บนรถ ตื่นขึ้นมาสักพัก เรามองออกไปด้านนอกก็เห็น.....


กรี๊ดดดดดดดดด อากาศดีผุดๆ ไม่มีเมฆเลยค่า (แต่มันไม่ได้เป็นแบบนี้ทั้งวันหรอกนะคะ)

ระหว่างทางเราก็ลุ้นตลอดว่าจะถึง Kawaguchiko station ตอน 8.23 น. จริงมั้ย

แต่เอาเข้าจริง

ไม่ตรงค่ะ!
แต่มาถึงก่อนเวลา!! ถึงตั้งแต่ 8 โมงนิดๆ




1 คืนที่นี่ เราจะพักกันที่ K's House Mt. Fuji ซึ่งจะตั้งอยู่ค่อนข้างไกลจากตัว Kawaguchiko station ดังนั้น เราเลยนัดทาง K's House มารับตอนประมาณ 8.30 น.

แต่เราว่าวิธีนี้ มันไม่ค่อยเวิร์คค่ะ
เพราะที่แรกที่เราจะไปกันวันนี้ คือ Chureito Pagoda หรือเจดีย์แดง ซึ่งการเดินทางต้องนั่งรถไฟไปจาก Kawaguchiko station หากเราไปที่ K's House ก่อนมันจะทำให้วนไปวนมาและเสียเวลาค่อนข้างมาก

แนะนำให้เอากระเป๋าฝากไว้ที่สถานี แล้วไปที่เจดีย์แดงเลยค่ะ แล้วค่อยเรียกโรงแรมมารับหลังจากเที่ยว เสร็จแล้ว 
(ถ้าทำแบบนี้ จะทำให้เราไปถึงเจดีย์แดงในช่วงเช้าอยู่ ทำให้ถ่ายรูปสวยค่ะ จะไม่ย้อนแสง 
เรามัวแต่วนไปวนมา ทำให้กว่าเราจะไปถึงก็ 10 โมงกว่า เริ่มถ่ายรูปยากแล้วค่ะ)

ที่ Kawaguchiko station จะมีจุดฝากกระเป๋า 2 จุด
1) Coin locker 
ถ้ามองจากภาพด้านบน coin locker จะอยู่ที่ด้านขวาของตัวสถานีค่ะ
มี coin locker หลายขนาดเลย แต่สำหรับใบใหญ่สุด อาจมีไม่มากนัก ถ้าเต็มแนะนำให้ไปที่จุดที่ 2
2) ฝากกับเจ้าหน้าที่ 
จุดที่สามารถฝากได้ถือบริเวณห้องที่ขายตั๋ว (Ticket office) 
ถ้าเราเดินเข้าจากด้านหน้าของสถานี Ticket office จะอยู่ทางซ้ายมือ หลังจากเลี้ยวซ้ายเดินเข้าไปแล้ว เคาน์เตอร์ขายตั๋วจะอยู่ด้านขวามือของเรา ส่วนจุดที่รับฝากกระเป๋าคือจุดที่อยู่ตรงหน้าเรา ให้มองตรงไปเลยค่ะ ...ฝากกระเป๋าตรงนี้ จะถูกกว่า coin locker นะคะ (แต่เราจำไม่ได้ว่าเท่าไหร่)

ตอนแรก เรากะจะฝากกับเจ้าหน้าที่นี่แหละ แต่ทางโรงแรมบอกเราว่า จุดที่รับฝากกระเป๋าคือ Tourist Information (อยู่ซ้ายมือสุดของตัวสถานี เป็นเหมือนอาคารย่อยแยกออกมาอีกอาคารนึง) พอไปถามเค้าบอกว่าไม่ได้รับฝากกระเป๋าค่ะ เราเลยเอาไปฝากที่ coin locker 
พอฝากเสร็จ ตอนที่ไปจองตั๋วรถบัสเพื่อเข้าโตเกียว ถึงได้เจอจุดฝากกระเป๋าที่ถูกต้อง

Chureito Pagoda หรือ เจดีย์แดง

การเดินทาง
จาก Kawaguchiko station ให้นั่งรถไฟไปที่สถานี ShimoYoshida station (300 เยน) โดยเราจะต้องเปลี่ยนรถไฟเป็นสาย Fujikyu Railway line ที่ Fujiyoshida station ก่อนครั้งหนึ่ง 
พอถึง ShimoYoshida station จากนั้นก็เดินค่ะ จะมีป้ายบอกทางเป็นระยะๆ

ถ้าเดินไปเจอโทริอิสีแดงแบบนี้ ใกล้แล้วค่ะ จากตรงนี้ไปแหละเดินเหนื่อย เพราะเดินขึ้นบันได ชันมาก 

 

มองกลับลงไป จะเห็นเลยว่ามันสูงเอาเรื่อง
แต่เราจะเห็นฟูจิซังอยู่ตลอดเวลา เป็นกำลังใจให้เราเดินต่อไป (เริ่มมีเมฆมาบังฟูจิซังแล้ววว)

และในที่สุด เราก็เจอกับเจดีย์แดงค่ะ


เดินขึ้นไปอีกค่ะ เราถึงจะพบกับมุมมหาชน!!!!




ที่นี่เจอกรุ๊ปคนไทยอีก 2-3 กรุ๊ป กับคุณลุงช่างภาพชาวญี่ปุ่นอีก 1 คน
ตอนขึ้นไปครั้งแรก ยังมีเมฆบังฟูจิซังค่ะ แต่พออยู่ไปเรื่อยๆ อีกสักพัก ฟ้าก็โปร่ง เมฆก็หายไป โชคดีสุดๆ :D

แถมขากลับยังไปค้นพบอีกมุมนึงค่ะ


วันนี้ ทำบุญมาดีจริงๆค่ะ

จากที่นี่ เราก็หาอะไรรองท้องแล้วก็เดินชิลไปเรื่อยค่ะ กว่าจะกลับถึง K's House อีกทีก็บ่ายสองกว่าๆแล้ว

ที่ K's House มีจักรยานให้เช่าด้วยค่ะ
เดิมที่เรากะซื้อ Retro bus pass เที่ยวรอบๆ ทะเลสาบ แต่พอเห็นจักรยานก็เปลี่ยนใจ ตัดสินใจปั่นจักรยานแล้วกัน! 

ขอบอกเลยค่ะ ว่าเป็นการตัดสินที่ถูกมากๆๆๆๆ (บอกแล้วว่าวันนี้ทำบุญมาดี)
ได้รูปฟูจิซังสวยๆ หลากหลายมุมมากค่ะ

เส้นทางการปั่นจักรยานของเรา


จุดสีเหลือง คือ K's House ค่ะ
ขาไป เราปั่นอ้อมไปรอบๆ ทะเลสาบทางทิศตะวันออก 
จากเส้นทางนี้ เราจะผ่านสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆ ของ Kawaguchiko เกือบทั้งหมดค่ะ แล้วจุดสุดท้ายของเรา คือ Oishi park 

Kachi Kachi Ropeway (9.00-17.00)
อยู่ที่จุดสีแดงตามแผนที่ด้านบนค่ะ

Tips ที่ Lobby โรงแรมมักจะมีบัตรลดค่าเข้าสถานที่ท่องเที่ยวใน Kawaguchiko อยู่ค่ะ อย่าลืมไปเอามาใช้น้าาา 



ที่นี่มีขนมขึ้นชื่อ (?) ที่ขายอยู่ด้านบน คือ ทานุกิดังโงะ


รสชาติไม่ต้องพูดถึง 

เหมือนเอาแป้งเหนียวๆ จิ้มซอสโชยุ แล้วมาทาน (ครั้งเดียวเกินพอ T^T)

อีกที่ ที่ตอนแรกคิดว่าจะแวะ คือ Music Forest 
แต่มันปิด 17.30 ซึ่งตอนที่เราปั่นไปถึงก็เกือบห้าโมงแล้วค่ะ เลยไม่ได้เข้า  

ช่วงที่ปั่นจักรยานเจอจุดถ่ายรูปสวยๆ เยอะเลยค่ะ
โดยเฉพาะช่วงด้านเหนือของทะเลสาบ บางช่วงจะมีเส้นทางสำหรับจักรยานและคนเดินอยู่ค่ะ ไม่จำเป็นต้องไปปั่นบนถนนทั้งหมด เส้นนี้ วิวสวยมากกกกก 

จุดสุดท้ายของเราอยู่ที่ Oishi Park
จุดเด่นของที่นี่คือ ดอกไม้ แต่ตอนเราไป มันยังไม่ค่อยบานเท่าไหร่ เลยไม่ได้สวยมากมาย 
แต่นะ เราอิ่มเอมกับฟูจิซังทั้งวันเลยค่ะวันนี้ 

เหล่านี้เป็นภาพฟูจิซังระหว่างทางที่ปั่นจักรยานค่ะ

บ่น: เสียดายอยู่อย่าง memory กล้องเราเต็มค่ะ --- เพิ่งครึ่งทริปเองง่ะ ทำให้ต้องประหยัดเม็มอย่างมาก และเริ่มใช้ iPhone ถ่ายเป็นหลักแทนกล้อง วันนี้ยังใช้กล้องได้ค่ะ แต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป iPhone ล้วนๆ






ขากลับ เราปั่นกลับคล้ายๆ ทางเดิม แต่แทนที่จะปั่นอ้อมทะเลสาบทางทิศตะวันออกทั้งหมด ก็ปั่นตัดข้ามสะพานกลับมาที่ K's House ได้เลยค่ะ (เส้นสีแดง)
บรรยากาศบนสะพาน 


ตอนปั่นขากลับ พระอาทิตย์ตกพอดีค่ะ 
และนี่คือโฉมหน้าน้องจักรยานที่รวมทุกข์รวมสุขในวันนี้


บนสะพาน รถวิ่งกันน้อยมากๆ คิดดูว่าขนาดถ่ายพาโน ยังไม่ติดรถสักคันเลยอ่ะค่ะ


รวมเวลาที่ใช้ทั้งหมดประมาณ 3 ชั่วโมงกว่าๆ
กลับถึง K's House ตอนเกือบๆ ทุ่มค่ะ 


mini Review: Toyoko inn Kyoto Shijo Karasuma

ด้วยความที่ Toyoko inn Kyoto Shijo-Karasuma ก็เป็นโรงแรมในเครือ Toyoko inn เหมือนกับ 
Toyoko inn Osaka Shinsaibashi Nishi ที่เราพักที่ Osaka

สภาพของห้องก็เลยไม่ได้แตกต่างกันมาก แต่ที่นี่ห้องจะใหญ่กว่าที่ Osaka เล็กน้อย (และแพงกว่าด้วย)

แต่ที่เรารู้สึกประทับใจเป็นพิเศษ คือ สถานที่ตั้งโรงแรมค่ะ

การเดินทาง 
Near the No.20 exit of Shijo Subway Station and Hankyu Karasuma Station



นี่เป็นการเดินทางไปยังโรงแรมตาม website ของ Toyoko inn ค่ะ
จะเห็นได้ว่าเค้าใช้คำว่า "near" ซึ่งแบบมัน near จริงๆอ่ะค่ะ 
ตอนพักที่โอซาก้าว่าใกล้กับสถานีรถไฟแล้ว ที่นี่ใกล้กว่าอีก เราเกือบเดินเลยแล้ว 

แถมย่านนี้ คึกคักมากค่ะ มีร้านค้าและห้างสรรพสินค้าตลอดสองฝั่งถนน
ฝั่งตรงข้ามเยื้องๆกับโรงแรมมี Family mart ด้วยไม่ต้องกลัวอดตาย

แล้วนอกจากโรงแรมจะใกล้สถานี Karasuma (Hankyu line) และสถานี Shijo (Kyoto subway: Karasuma line) ตามชื่อโรงแรมแล้ว

ยังสามารถเดินไปจนถึงสถานี Kawaramachi (Hankyu line) และสถานี Gion-Shijo (Keihan line) ได้ด้วย 
ทำให้แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ใจกลางการคมนาคมของเกียวโตอย่าง Kyoto station แต่ก็ไม่ลำบากอะไร


นอกจากนี้ จากโรงแรมเรายังสามารถเดินไปยังสถานที่ที่น่าสนใจได้หลายแห่ง เช่น
- Nishiki market (อันนี้ เราเพิ่งมารู้ตอนกลับมาเมืองไทยแล้ว เสียดายมากๆๆๆๆ)
- ย่าน Shopping (จะอยู่ในซอยช่วงก่อนถึงสถานี Kawaramachi) รู้สึกว่าจะเรียกว่า Teramachi Kyogoku หรือไม่ก็ Shinkyogoku นี่แหละค่ะ (ไม่แน่ใจ) / ห้างสรรพสินค้าต่างๆ (ขนาด LV ยังมี shop อยู่บริเวณนี้เลยค่ะ)
- ริมแม่น้ำ Kamo (เราเดินไปทุกวันเลย จากโรงแรมถึงแม่น้ำประมาณ 1 km บรรยากาศริมแม่น้ำดีมากๆ โดยเฉพาะตอนเย็นๆ จะมีคนมานั่งเล่นกันเยอะเลย ใครอยากซึมซึบบรรยากาศเกียวโตขนานแท้ แนะนำให้ไป)



- ย่าน Pontocho เป็นอาคารแบบเก่าๆ คล้าย Gion แต่ส่วนใหญ่จะเป็นร้านอาหารค่ะ อยู่ซอยก่อนถึงแม่น้ำค่ะ (เพราะฉะนั้น ร้านอาหารฝั่งขวาจะเป็นร้านที่ติดแม่น้ำ Kamo)



- ย่าน Gion และศาลเจ้า Yasaka อันนี้ ต้องเดินข้ามแม่น้ำไปหน่อยนึงก็ถึงแล้วค่ะ

ใครร่างกายแข็งแรง เดินเก่งๆ หน่อย สบายมากค่ะ หรือถ้าไม่อยากเดินจะนั่งบัสก็ได้ไม่ว่ากัน :D

Day 5: Nara and Night bus to Kawaguchiko

Day 1: Osaka กุหลาบงามกลางเดือนพฤษภาคม
Day 2: Osaka Amazing Pass
Day 3-4: Kyoto Aoi Matsuri
Day 5: Nara and Night bus to Kawaguchiko
Day 6: Kawaguchiko มาปั่นจักรยานกันเถอะ
Day 7: Fuji Shibazakura Festival
Day 8-11: Tokyo (1)
Day 8-11: Tokyo (2) - Kawasaki

∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇

: Kansai Thru Pass
: Night Bus จาก Kyoto ไป Kawaguchiko

วันนี้เราเริ่มต้นวันด้วยการไปซื้อตั๋ว Night bus จากเกียวโตไปคาวากูจิโกะที่ Kyoto Station


อย่างที่เคยบอกไปแล้วในบล็อกที่ได้สรุปการเดินทางทั้งหมดในทริปนี้

การจะไปคาวากูจิโกะจากเกียวโตด้วย Night bus นั้นมีทางเลือก 2 ทาง คือ
จากเกียวโตตรงเข้าคาวากูจิโกะเลย หรือ 
จากเกียวโตไปโตเกียวก่อน แล้วจากโตเกียวค่อยไปคาวากูจิโกะ
และรถบัสก็มีหลายเจ้าให้เลือก ราคาก็จะแตกต่างกันไป

ทริปนี้ ที่เราตัดสินใจไป Night bus นั้น เพราะ

1) ราคาค่อนข้างถูก ถ้าเทียบกับการเดินทางโดยวิธีอื่น
2) ประหยัดค่าโรงแรมได้อีก 1 คืน เพราะต้องนอนบนรถ 
...แต่ถ้าใครนอนหลับบนรถยาก อาจมีปัญหานะคะ เพราะจะเหนื่อยเอาการเลย แต่เรากับเพื่อนกินง่าย นอนง่าย แค่นี้ ส.บ.ม. ค่ะ

ครั้งนี้ เราตั้งใจไปจองตั๋วของ Kintetsu bus 


การจอง Kintetsu bus จริงๆ แล้วสามารถจองได้หลายช่องทาง

จองทาง internet ก็ได้ (มีค่าธรรมเนียมและภาษาญี่ปุ่นล้วนๆ) หรือทางโทรศัพท์ก็ได้ หรือไปจองที่ convenience store หรือคอนบินิ ทั้งหลายก็ได้
แต่เนื่องจาก Website ของ Kintetsu bus เป็นภาษาญี่ปุ่นล้วนๆ อาจทำให้ลำบากหน่อยค่ะ


ตอนแรก เรากะให้เพื่อนที่เป็นคนญี่ปุ่นจองให้ แต่เพราะบอกเพื่อนกะทันหันไปหน่อย เลยจองที่คอนบินิไม่ทัน (จะไปพรุ่งนี้ จองคืนนี้ ....แบบนี้ จองที่คอนบินิไม่ได้ค่ะ)

สรุปว่าวันนี้เลยต้องไปซื้อตั๋วที่ Kyoto Station เอง (ใครไปช่วงเทศกาล แนะนำให้ไปซื้อ/จองล่วงหน้านะคะ)


วิธีการเดินทางไปเคาน์เตอร์ Kintetsu bus 

ง่ายๆ คือ ตามหาทางเข้ารถไฟสาย Kintetsu ค่ะ

ถ้ามาถึง Kyoto station โดย subway พอออกจาก subway ให้เดินไปตามทางออก south exit #Hachijo
เดินไปเรื่อยๆจะเจอทางเข้าสำหรับ JR เดินผ่านไปค่ะ  -> ผ่านจากตรงนี้ไปจะเริ่มเข้าสู่โซนร้านอาหาร (อย่าเพิ่งหวั่นไหวค่ะ เดินต่อไป) -> เดินไปเรื่อยๆ จะเจอร้าน Uniqlo เล็กๆอยู่ขวามือ ติดกับร้าน Uniqlo จะเป็นบันไดเลื่อน -> เดินขึ้นบันไดเลื่อนไป มองขวามือไว้ จะเจอจุดที่ซื้อตั๋วเลยค่ะ (ตอนนี้ด้านหลังเราจะเป็นทางเข้ารถไฟสาย Kintetsu) 


จุดที่เราจะซื้อตั๋วรถบัสจะเป็นจุดเดียวกับที่ซื้อตั๋วรถไฟด้วย แต่ที่สำหรับซื้อตั๋วรถบัสจะอยู่เคาท์เตอร์สุดท้ายค่ะ (ถามพนักงานข้างในนั้นอีกทีก็ได้ค่ะ)

ส่วนที่ขึ้นรถจะอยู่ตรงใกล้ๆกับประตูทางออกซึ่งอยู่ตรงข้ามกับร้าน Uniqlo ที่เราเดินผ่านมาตอนแรกนั่นแหละ (พอเราซื้อตั๋วเสร็จ พนักงานจะบอกเราอีกที)



หลังจากที่เราจัดการซื้อตั๋วไปคาวากูจิโกะสำหรับคืนนี้เสร็จแล้ว โปรแกรมของวันนี้ก็ว่างแล้วค่ะ ไม่มีแพลนอะไรต่อ
แต่ด้วยความที่มันยังเช้าอยู่ แถมตอนนี้เราก็อยู่หน้าทางเข้ารถไฟสาย Kintetsu ที่จะไปนาราแล้ว ก็เลยตัดสินใจไปนารากันค่ะ

เรานั่งรถไฟสาย Kintetsu ไปลงที่สถานี KintetsuNara

จากนั้นก็เดินไปวัด Todaiji โดยเราเดินไปตามป้ายบอกทางเลยค่ะ 
ระหว่างทางจะผ่าน Nara Park แล้วก็พิพิธภัณฑ์อะไรสักอย่างด้วย
ระยะทางนั้นค่อนข้างไกลอยู่เหมือนกันค่ะ (เดินเหนื่อยหนึ่งหอบ) ถ้าในคณะมีเด็กเล็กหรือผู้สูงอายุแนะนำให้นั่งรถบัส

ช่วงที่เดินผ่าน Nara Park เราก็จะเจอน้องกวาง สัญลักษณ์ของนารา

ตรงจุดนี้เป็นอีกจุดที่มีขนมเซมเบ้ขาย เพื่อให้อาหารน้องกวางค่ะ
หรือถ้ายังไม่อยากให้ตรงนี้ ตรงด้านหน้าของวัด Todaiji ก็มีขนมขายอีกเหมือนกัน



วัด Todaiji






ภายในรอบๆ บริเวณวัด Todaiji ค่อนข้างกว้างเลยค่ะ มีจุดที่เป็นอาคารหรือเจดีย์ต่างๆ อยู่อีกหลายจุด
เสียดายว่าไม่ได้ศึกษาข้อมูลมาก่อนเลยไม่รู้ว่าแต่ละจุดคืออะไรยังไง 
ได้แต่เดินไปมั่วๆ 

หลังจากเที่ยวนารากันแล้ว เราก็เดินทางกลับมาถึงเกียวโตอีกครั้งประมาณ 5-6 โมงเย็น

ภารกิจต่อไปของเราคือ การเก็บตกเกียวโตและตามหา Kyoto Tower


มาเกียวโตตั้งหลายวันแล้ว ยังไม่ได้ถ่ายรูปกับ Kyoto Tower เลย ก็เลยเดินกันไปที่ทางออก North exit ของ Kyoto Station ค่ะ 

ออกจากสถานีปุ๊บ ก็เห็นเลย




ถ่ายรูปกันคนละแชะสองเเชะ พอเป็นพิธี 
เก็บตกเดินเล่นเกียวโตอีกเล็กน้อย 
แล้วค่อยไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้ที่โรงแรม พร้อมกับเปลี่ยนชุดสักหน่อย เพราะคิดกันเอาไว้ว่าอีกวันพอถึงคาวากูจิโกะแล้ว เราจะเที่ยวกันต่อเลย (ซักแห้งค่ะ 5555+)

จากนั้นก็แล้วกลับมารอขึ้น Night bus ที่ Kyoto station อีกครั้ง


Kintetsu bus จะเริ่มต้นจากรับคนที่โอซาก้าก่อนค่ะ แล้วไล่มาจนถึงเกียวโต

ตามตารางรถจะมาถึงเกียวโตตอน 23.18 น.

ขอบอกว่า 23.18 น. คือเวลารถออกนะคะ ดังนั้น ต้องไปถึงก่อนเวลานี้ อย่าไปช้ากว่านี้ เพราะรถออก โ-ค-ต-ร ตรงเวลาเลยค่ะ จริงจังมากกกกกก


รถเข้าเทียบท่าที่จะรับคนที่ Kyoto Station ตอน 23.15 น. 

ใช้เวลาประมาณ 3 นาทีในการเอาสัมภาระของผู้โดยสารที่ขึ้นจากเกียวโตขึ้นรถและตรวจตั๋ว 
จากนั้น 23.18 น. รถก็ออกเลยค่ะ 

แม่เจ้าาาาาาา ตรงเวลาได้น่าสะพรึงมาก


ตอนเราขึ้นรถ ผู้โดยสารที่มาจากโอซาก้าค่อนข้างเยอะเลยค่ะ มีขึ้นจากเกียวโตแค่ประมาณ 2-3 กรุ๊ปเอง


อ้อ! Kintetsu bus จะมีรถ 2 แบบนะคะ คือ แบบแถวละ 3 ที่นั่ง กับ 4 ที่นั่ง
(รายละเอียดของรถแต่ละแบบมีบอกอยู่ในเว็บไซต์ ซึ่งแม้จะเป็นภาษาญี่ปุ่น แต่ใช้ Google Translate แล้วเดาได้ค่ะ)


แบบ 3 ที่นั่ง
แบบ 4 ที่นั่ง
เราเลือกแบบ 4 ที่นั่ง ราคา 6200 เยนค่ะ
รถแบบ 4 ที่นั่ง คือ รถทัวร์บ้านเรานั่นเองค่ะ เหมือนรถ ป.อ.1 ทั่วไป (แต่มีช่องชาร์จแบตให้ด้วย)
ที่นั่งไม่กว้างมาก ถ้าใครขายาวๆ เข่าอาจชนได้
(ถ้าใครนั่งรถสายตะวันออก มันพอๆกับรถของเชิดชัยหรือพรนิภานั่นแหละ ถ้าใครนั่งรถสายเหนือ ระลึกไว้ว่ามันคือ ป.อ.1 ค่ะ (ประมาณ 40 ที่นั่ง) ไม่ใช่ VIP 32 ที่นั่งนะคะ)

ระหว่างทางมีการจอดรถพักให้คนได้ลงไปยืดเส้นยืดสายเหมือนเวลาเรานั่งรถสายเหนือด้วยค่ะ

แต่เราไม่ได้ลง เพราะหลับค่ะ 
ไม่มีสติอะไรทั้งนั้น รถจอดตอนกี่โมง ที่ไหน นี่เราไม่รู้เรื่องเลย
แค่สะลึมสะลือขึ้นมาดูว่ารถจอดนะ แล้วเราก็หลับต่อด้วยความรวดเร็ว 55555+

ตามตารางรถจะขึ้นคาวากูจิโกะตอน 8.32 น.

ขอยกไปตอนหน้านะคะว่ามันถึงกี่โมง...... :P