10 เมษายน 2559

Day 4-7: ชมซากุระสุดฟินที่ Kyoto

Kansai Sakura Trip 2015
Day 0-1 : ประสบการณ์นอนที่สนามบินคันไซกับครั้งแรกที่ Himeji
Day 2: Universal Studio Japan (USJ) กับบัตรเบ่ง Express Pass 5
Day 3: ตามล่าซากุระที่ Osaka แล้วไปช็อปปิ้งซอยละลายทรัพย์ Tenjinbashisuji
Day 4-7: ชมซากุระสุดฟินที่ Kyoto

∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇

ในที่สุด บล็อกนี้ก็ดองไว้ครบ 1 ปี พอดี ซากุระก็เริ่ม full bloom กันอีกครั้ง เราก็เพิ่งกลับจากทริปญี่ปุ่นอีก 1 ทริป ดองกันไว้ยาวมากๆ คราวนี้จะมาต่อให้จบค่ะ

เมืองเกียวโต เป็นอีกเมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องการชมซากุระมากค่ะ
มีหลายที่หลายแห่งให้เลือกสรร แต่ละที่ก็สวยๆทั้งนั้น เราดูกระทู้รีวิวของคนอื่นทั้งไทยและต่างชาติจนมึนไปหมด แต่สุดท้ายก็สรุปที่ที่อยากไป (และที่ที่ต้องไป) มาได้จำนวนหนึ่ง

วิธีการเลือกของเราคือดูจากรูปค่ะ อันนั้นเราเห็นว่าสวย ถูกจริต เราก็เลือกไปอันนั้นแหละ
ที่เราเลือกมามีวัด Daigoji, ริมแม่น้ำ Kamo และ Keage Incline ค่ะ

ส่วนที่ที่ต้องไปอย่างพวก landmark ต่างๆก็มี
 - วัดน้ำใส Kiyomizudera 
 - ศาลเจ้า Yasaka และ Maruyama park
 - ย่าน Gion
 - Arashiyama
 - วัดทอง Kinkakuji 
 - วัดเงิน Ginkakuji
- ทางเดินสายนักปราชญ์ Philosopher’s path (Tetsugaku no michi)
 - ศาลเจ้า Fushimi Inari 
 - ตลาด Nishiki Market แถมด้วยย่านช็อปปิ้งอย่าง Teramachi และ Shin- Kyogoku

คราวนี้เรามาจัดกลุ่มกันค่ะ
Arashiyama กับวัดทอง Kinkakuji จะตั้งอยู่ตอนบนของเกียวโต เพราะฉะนั้น 2 แห่งนี้ควรไปวันเดียวกัน เฉพาะ Arashiyama ใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งวันแน่ๆ วัดทองก็น่าจะใช้เวลาอีกประมาณ 2 ชั่วโมง รวมๆแล้ว วันที่ไป Arashiyama นี้น่าจะเหลือเวลาพอที่จะเที่ยวที่ไหนอีกสักแห่งในช่วงประมาณบ่าย 3 เป็นต้นไป ตรงนี้เราอาจไปวัดน้ำใสหรือ Keage Incline ต่อได้ค่ะ ดูเวลาอีกทีค่ะ

วัดเงิน Ginkakuji กับทางเดินสายนักปราชญ์ Philosopher’s path ต้องไปวันเดียวกันแน่ๆค่ะ เพราะวัดเงินเป็นจุดเริ่มของทางเดินสายนักปราชญ์พอดี 
อีกที่หนึ่งซึ่งสามารถเดินไปจากทางเดินสายนักปราชญ์ได้คือ Keage Incline ค่ะ แต่ตอนแรกเรายังดูๆไว้ก่อน ไม่ได้ฟันธงว่าต้องไปวันเดียวกัน เพราะจะต้องเดินเยอะมาก
Keage Incline มีอีกวิธีที่สบายมาก คือ นั่งรถไฟไปลงสถานี Keage เดินออกจากสถานีปุ๊บก็ถึงแล้วค่ะ ตรงนี้เราเลยคิดว่า ถ้าวันไปวัดทอง เวลาได้ อากาศดี เราอาจจะมาที่นี่ต่อโดยรถไฟก็ได้

วัดน้ำใส Kiyomizudera ศาลเจ้า Yasaka และ Maruyama park ย่าน Gion กลุ่มนี้อยู่ใกล้กันมาก แถมใกล้กับตลาด Nishiki อีก ยังไงคงต้องมาย่านนี้กันเกือบทุกวันแน่ๆ เลยวงๆไว้ก่อนค่ะ ไม่ได้ฟิคมากว่าอะไรต้องไปวันไหน เมื่อไหร่ ดูตามเวลากันอีกที

แต่ถ้าใครมีเวลา อยากแนะนำเส้นทางอีกเส้นทางหนึ่ง จริงๆเราอยากไปมาก แต่เนื่องจากเวลาไม่ลงตัว เลยต้องตัดออกไป คือ เส้นทาง Higashiyama (เส้นสีส้ม) จะเป็นเส้นที่เป็นบ้านทรงญี่ปุ่น จาก Kiyamizudera ยาวไปจนถึงศาลเจ้า Yasaka ค่ะ



ส่วน Fushimi Inari อันนี้ เราจับโยนไปไว้ในวันกลับค่ะ เพราะวันสุดท้ายเราจะใช้ Kansai Area Pass ซึ่งเป็น pass 1 day ของ JR เพื่อนั่ง Haruka ไปสนามบินอยู่แล้ว เลยกะใช้ pass นี้นั่งไปลงสถานี Inari ด้วยเลย ไม่ต้องไปเสียเงินเพิ่มในวันอื่นอีก

=================

Day 4 

วันนี้จริงๆแพลนตอนเช้าคือไปนาราค่ะ แต่เนื่องจากเรามีธุระนิดหน่อยเลยไม่ได้ไป
ปล่อยให้คุณเพื่อนไปเที่ยวนารา ชมน้องกวางกัน 2 คน

แต่ก่อนไปทำธุระ เราแอบเดินจากโรงแรมไปถึง Tsutenkaku tower มาค่ะ ไปตอนเช้า ร้านยังไม่ค่อยเปิด (แต่เห็นบางร้านเริ่มจัดร้านแล้ว) ระหว่างทางเดินไป(แบบมั่วๆ) เจอร้านที่เค้านั่งเล่นโกะกันด้วยค่ะ มีคุณลุงนั่งเล่นกันอยู่ แต่ไม่กล้าถ่ายรูป กลัวจะรบกวน รู้สึกเหมือนอยู่ในการ์ตูนฮิคารุเซียนโกะอย่างไรอย่างนั้นเลย 







หลังจากทำธุระอะไรเสร็จ เรานัดเจอเพื่อนที่เกียวโตค่ะ ซึ่งเนื่องจากเราไม่มีอินเตอร์เน็ต ทำให้ติดต่อเพื่อนไม่สะดวกเท่าไหร่ ประกอบกับหลายๆอย่าง กว่าจะเจอกัน เลทไปจากเวลานัดเยอะเลยค่ะ 

จริงๆ ตามแพลนวันนี้คือตั้งใจจะไปวัด Daigoji ตอนบ่าย ก็เลยไปไม่ทัน 
เราเสียดายมากกกกก จริงๆ เราถึงเกียวโตตั้งแต่เที่ยงๆแล้ว แต่เพราะนัดเพื่อนไว้บ่าย เลยตัดใจรอ คิดว่าไปพร้อมกันดีกว่า ท้ายสุดปรากฏว่าเกิด accident นิดหน่อย กว่าจะเจอกับเพื่อนก็เกือบสี่โมงเย็น ก็เลยต้องตัดใจค่ะ 

ช่วงเวลาระหว่างที่เรารอเพื่อนนั้น เราก็ยังคงใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ด้วยการไปเดินเล่นริมแม่น้ำ Kamogawa รอซะเลย ซึ่งตอนนั้นฝนตกค่อนข้างหนักเลย (แต่ยังคงมีคนมาวิ่งจ็อกกิ้ง ...เห็นแล้วงง ฝนตกขนาดนั้น ยังวิ่งจ็อกกิ้งตากฝนอีกเหรอ ???)
ช่วงที่เราเดินคือเริ่มต้นจากตรง K's house Kyoto ไล่ไปตามแม่น้ำ Komogawa จากสถานี Shichijo ไปเรื่อยๆ จนถึงสถานี Kiyomizu-gojo รวมระยะทางน่าจะประมาณเกือบๆ 1 km ค่ะ
ขนาดฝนตกๆนะคะ ซากุระริมแม่น้ำคือสวยมากกก จะมีต้นที่ full bloom บานเป็นระยะๆ แถมไม่มีคนเลยค่ะ (ก็นะ ฝนมันตก จะมีคนสักกี่คนมาเดินชมดอกไม้กัน) 
แต่เสียดายเราก็ไม่มีมือถ่ายรูปด้วยเหมือนกัน มือหนึ่งถือร่ม อีกมือถือถุงขยะ (ถังขยะเป็นสิ่งที่หายากจริงๆนะ >< !)
รูปที่ได้มานี่คือยืนอยู่ใต้สะพานค่ะ วางร่มแล้วถ่ายรูป ตรงซากุระนี่ ไม่ได้ถ่ายรูปเลย 555+



เดินชมซากุระจนอิ่มจนถึงสถานี Kiyomizu-gojo เราก็นั่งรถไฟสาย Keihan line ไปอีก 1 สถานี ลงที่สถานี Gion-Shijo เพื่อไปเดินเล่นค่ะ (วันนี้เราใช้ KTP ค่ะ เลยนั่งรถไฟตรงส่วนนี้ได้ฟรี)
พอออกจากสถานี Gion-Shijo แล้ว ย่านนี้เป็นย่านที่เราเคยมาพักเมื่อปีก่อนค่ะ มีทั้งห้างสรรพสินค้า ย่าน Shopping street อย่าง Teramachi และ Shin- Kyogoku (เส้นสีเหลือง) หรือตลาด Nishiki (เส้นสีแดง) รวมไปถึงใกล้กับศาลเจ้า Yasaka และ Gion ด้วยค่ะ (จะอยู่อีกฝั่งของสถานี Gion-Shijo)
แต่เนื่องจากพวกสถานที่ท่องเที่ยว ยังไงก็ต้องมากับเพื่อนอีกทีอยู่แล้ว เราเลยไปสำรวจตลาด shopping ดีกว่าค่ะ เดินไปเรื่อย ดูโน่นดูนี่ สนุกดีเหมือนกันค่ะ 5555+
ระหว่างทางเดินไปจะมีคลองสายเล็กๆที่ขนานกับแม่น้ำ Kamogawa ตรงจุดนี้จะมีแนวต้นซากุระด้วยค่ะ



เราเดินเล่นจนกระทั่งใกล้ถึงเวลานัดกับเพื่อน จึงกลับไปรอที่จุดนัดพบคือ K's house
พอพบกับเพื่อนแล้ว ก็กลับมาที่เดิมอีกครั้ง แต่คราวนี้ไปอีกด้านหนึ่งค่ะ
ตรงไปที่ศาลเจ้า Yasaka Shrine



ช่วงนี้ที่ศาลเจ้ามีงานเทศกาลอยู่ด้วยค่ะ มีงานออกร้านขายอาหารต่างๆ รวมถึงมีบ้านผีสิงด้วย (เหมือนงานวัดเมืองไทยนี่เอง) 




เดินเข้าไปใน Yasaka Shrine เรื่อยๆ เราจะพบกับ Maruyuma park ซึ่งเป็นที่ตั้งของต้นซากุระชื่อดังพันธุ์ย้อยหรือพันธุ์ Shidarezakura เป็นจุด check point อีกจุดที่คนไปถ่ายรูปกันเยอะมาก




หลังจากออกจาก Yasaka Shrine เดินออกไปอีกหน่อย เราจะไปถึงย่าน Gion 
Gion ที่เราจะไปกันมี 2 จุดค่ะ คือ Hanamikoji dori กับ Shirakawa Minami dori 
จุดแรกที่ Hanamikoji dori เดินออกจากศาลเจ้า Yasaka แล้วเดินตรงมาเรื่อยๆ ถนนเส้นนี้จะอยู่ทางซ้ายมือ เดินเข้าไปจะเป็นร้านอาหารสไตล์ญี่ปุ่น ตกแต่งแบบญี่ปุ่นๆ และบ่อยครั้งก็จะเจอไมโกะหรือเกอิชาฝึกหัดด้วยค่ะ




ส่วนอีกจุดที่ Shirakawa Minami dori จะเป็นจุดที่มีต้นซากุระเลียบแนวแม่น้ำเล็กๆค่ะ สวยมากกกกกก (และคนก็เยอะพอควรด้วยเช่นกัน)


=================

Day 5

วันนี้ตื่นแต่เช้าเพื่อไป Arashiyama กันค่ะ
การไป Arashiyama เพื่อนั่งรถไฟสายโรแมนติก มีได้หลายแบบ 
เช่น อาจจะนั่ง JR ลงสถานี Saga Arashiyama จากนั้นเดินไปนั่งรถไฟ Sagano ที่สถานี Torokko Saga ซึ่งเป็นต้นสายยาวไปจนสุดสายที่สถานี Kameoka แล้วนั่งเรือล่องกลับลงไปใกล้กับสะพาน Togetsukyo ก็ได้ 
หรืออาจใช้วิธีเดียวกับเรา คือ จาก Kyoto station นั่ง JR Sagano ลงที่ Umahori station จากนั้นเดินไปที่สถานี Kameoka station ของ Sagano sightseeing tram line แล้วไปลงที่สถานี Torokko Arashiyama station >>> ถ้าใช้สูตรนี้แนะนำให้นั่งฝั่งซ้ายจะเห็นวิวมากกว่าค่ะ 
Romantic Train มีเวลาทำการช่วงที่เราไป คือ 9.30-18.00 (แต่ละฤดูเวลาเปิด-ปิดจะแตกต่างกัน) ใช้เวลาประมาณ 20 นาที



พอออกจากสถานี Torokko Arashiyama เราสามารถเดินไปที่อุโมงค์ต้นไผ่ Bamboo forest stroll และ Tenryuji Temple (8.30-17.30: no closing day: 500Y)
และเดินไปจนถึง Togetsukyo bridge ใช้เวลาเดินทั้งหมดก็ประมาณ 2 ชั่วโมงได้ค่ะ


เพราะฉะนั้น แค่ Arashiyama ก็หมดอย่างน้อยครึ่งวันแน่ๆค่ะ 
เราแวะทานอาหารกลางวันกันแถวๆ Arashiyama นี่แหละค่ะ 
หลังจากทานอาหารและถ่ายรูปตรงสะพาน Togetsu เรียบร้อยแล้ว สถานที่ต่อไปที่เราจะไปกันก็คือสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตอย่างวัดทองหรือ Kinkakuji Temple (9.00-17.00: no closing day: 400Y)

จากสะพาน Togetsu ให้เดินย้อนกลับไปขึ้นรถไฟสาย Keifuku railway หรือที่เรียกกันว่า Randen
โดยขึ้นจากสถานี Arashiyama (A14) ไปเปลี่ยนสายจากสาย A เป็นสาย B ที่สถานี Katabira no Tsuji (A9)(B1) แล้วไปลงที่สถานี Kitano Hakubaicho (B9)
รถไฟสาย Randen นี้จะวิ่งผ่านอุโมงค์ซากุระ (Cherry Blossom Tunnel) ซึ่งอยู่ระหว่าง Narutaki (B3) กับ Utano (B4) ด้วยค่ะ เป็นจุดที่หลายคนชอบไปถ่ายภาพรถไฟคู่กับซากุระกัน ถ้ามีเวลาลองลงที่สถานีตามที่บอก เดินลงไปดูก็ได้นะคะ ถ้าแค่อยู่ในรถไฟแบบเราก็จะเห็นว่าผ่านต้นซากุระและเห็นคนมาคอยถ่ายรูปกันค่ะ (มีคนตั้งขาตั้งกล้องถ่ายกันเป็นงานเป็นการมากมาย)

จากสถานี Kitano Hakubaicho เราจะขึ้นรถบัสกันต่อค่ะ 
ตรงนี้จะเป็นป้าย Kitano Hakubai-cho ค่ะ สามารถขึ้นรถบัสสาย 101 102 204 หรือ 205 ไปลงที่ป้าย Kinkakuji-michi (ไม่ต้องกลัวหลงหรือลงไม่ถูกนะคะ รถบัสของญี่ปุ่นจะมีจอบอกป้ายอยู่ตลอด ว่าป้ายต่อไปคือป้ายอะไร ทั้งเป็นภาษาญี่ปุ่นและภาษาอังกฤษ)

ออกจากวัดทอง ยังพอมีเวลาอยู่พอสมควร เราเลยไปต่อกันที่ Nishiki Market และเก็บตก shopping กันแถวนั้นอีกนิดหน่อย
ที่ Nishiki market อาหารน่ากินเยอะมาก ควรเคลียร์ท้องให้ว่างก่อนมาด้วยนะคะ ( >_< )

=================

Day 6

วันนี้เป็นวันแห่งการชมซากุระโดยแท้เลยค่ะ
เริ่มต้นจากการนั่งรถบัสไปลงที่ป้าย Ginkukuji-michi
จากนั้นเดินไปวัดเงิน Ginkakuji (8.30-17.00: no closing day: 500Y) จุดสีเหลืองที่มุมขวาบน
แต่วัดเงินนี่ เงินแต่ชื่อนะคะ ต่างจากวัดทองที่สีทองจริงๆ เห็นว่าเงินหมดก่อนที่จะมีการฉาบสีเงิน

จากวัดเงิน พอเดินออกมาจะเป็นทางเดินสายนักปราชญ์ Philosopher’s path หรือ Tetsugaku no michi (เส้น A ถึง B) ระยะทางประมาณ​ 1.5 km มีซากุระเป็นแนวตลอดทาง



ช่วงที่ไป Full bloom พอดีค่ะ แต่เพราะมีฝนตก ทำให้ซากุระบางส่วนเริ่มร่วง บรรยากาศเลยยิ่งสวยไปอีกค่ะ พื้นเต็มไปด้วยกลับดอกซากุระ




จากทางเดินสายนักปราชญ์ เดินไปเรื่อยๆ ผ่านวัด Nanzenji จนถึง Keage Incline ค่ะ
เป็นเส้นที่มีซากุระเป็นแนวรอบทางรถไฟ (เส้น A ถึง B เส้นล่างตามภาพ)
ตรงจุดนี้ เป็นจุดที่มีคนไทยเยอะมากเป็นพิเศษ มีแต่เสียงภาษาไทยคุยกันตลอดเลย อบอุ่นเหมือนอยู่เมืองไทยเลยค่ะ

และจุดนี้ก็มีเรื่องเกิดขึ้นด้วยค่ะ เราเกิดอาการแพ้อะไรบางอย่างค่ะ ผื่นขึ้นทั้งตัว คอแดง หน้าแดงจนน่ากลัว เป็นอาการแพ้แน่ๆ แต่ปัญหาคือแพ้อะไร?
ระหว่างทางที่เดินมา เราได้มีโอกาสได้กินหน่อไม้ญี่ปุ่นย่าง นี่เป็นข้อสันนิษฐานหนึ่ง คือ แพ้หน่อไม้ญี่ปุ่น
กับอีกข้อสันนิษฐานหนึ่ง คือ แพ้เกสรดอกไม้ค่ะ เป็นอาการแพ้ที่คนญี่ปุ่นเป็นกันเยอะด้วยซิ
จนวันนี้ก็ยังไม่รู้ว่าแพ้อะไร 
แต่ที่แน่ๆ ทำให้รู้ว่า ยาอีกอย่างที่ควรติดไปต่างประเทศด้วย คือ ยาแก้แพ้ค่ะ (ปกติ เราจะติดพวกยาพารา ยาแก้ท้องเสีย หรือยาคลายกล้ามเนื้อไปต่างประเทศอยู่แล้ว แต่ไม่เคยพกยาแก้แพ้ไปด้วย จากเรื่องนี้ ทำให้ทริปต่อๆมา เราพกยาแก้แพ้ไปด้วยตลอดเลย) 



ตรง Keage Incline เราสามารถเดินไปเรื่อยๆ จนถึงศาลเจ้า Heian
จริงๆ ถ้ามีเวลา อยากเข้าไปในศาลเจ้าเฮอันอยู่เหมือนกันค่ะ แต่ด้วยเวลาหลายๆอย่าง เลยทำให้ได้แค่ถ่ายรูปกับโทริอิสีแดงขนาดใหญ่ที่หน้าศาลเจ้าเท่านั้นเองค่ะ 

จากจุดนี้ เรานั่งรถบัสต่อไปที่ป้าย Kiyomizu-michi bus stop จากนั้นเดินขึ้นเขาไปอีกประมาณ 10 นาทีก็จะถึงวัดน้ำใส หรือ Kiyomizudera Temple (6.00-18.00: no closing day: 300Y) 
ช่วงซากุระ กลางเดือนมีนาถึงเมษา วัดน้ำใสจะมีการเปิดให้ชมในตอนเย็นด้วย เป็น Spring Illumination (18.30-21.30: 400Y) 


ช่วงเย็นของวันนี้ เราและเพื่อนไปเก็บตกกันอยู่ที่ห้าง Yodobashi ตรงสถานี Kyoto station ค่ะ
สายชาร์จ iPhone เราขาด ทำให้ต้องไปซื้อใหม่ เทียบกับเงินบาท ราคาใกล้เคียงมาก ถูกกว่านิดหน่อย (หลักสิบ) 
เพื่อนเราจะไปซื้อ power bank กับ lense กล้อง
นอกจากนี้ เราต้องไปเดินตามหากันพลาให้น้องชาย ซึ่งแบบ..... ลำบากเล็กน้อยถึงปานกลาง เพราะกันพลามันเยอะ น้องให้รูปมา เรานี่เดินหาจนตาลาย สุดท้ายบางตัวต้องให้พนักงานช่วยหา 
เราเข้าไปอยู่ในโลกแห่งกันพลาทุกรอบที่มาญี่ปุ่น ทั้งๆที่เราไม่เคยพิสมัยการต่อกันพลาแม้แต่น้อย จนเราเริ่มรู้สึกว่ามันจะน่าต่อขึ้นมาบ้างแล้วค่ะตอนนี้ ^o^ 

=================

Day 7

วันสุดท้าย เป็นวันที่ต้องกลับเมืองไทยแล้วค่ะ 
วันนี้เราจะต้องเดินทางจาก Kyoto ไปยังสนามบินคันไซ​ โดยเราจะใช้ 1-day JR Kansai Area Pass เพื่อนั่ง Haruka ไปลงสนามบิน

เริ่มต้นวันนี้ที่ Fushimi Inari เลยค่ะ 
นั่ง JR ไปลงสถานี Inari ออกจากหน้าสถานีปุ๊บ ถึงเลยค่ะ ไม่มีหลงแน่นอน




เราไม่ได้เดินไปจนสุดทางของโทริอิสีแดงนะคะ (ไกลเกิ๊นนนน ไม่ไหวค่ะ)
จากนั้นก็เป็น Free time และนั่ง JR Airport Express Haruka ไปที่สนามบินคันไซ จัดการฝากกระเป๋า
จากนั้นก็ออกเดินทางไป Rinku Town Outlet
ตอนแรกก็คิดว่าไปไม่นาน ไปเดินเล่นๆ ไม่ได้จะซื้ออะไร
แต่เอาเข้าจริง 4-5 ชั่วโมงที่นี่ เราใช้คุ้มค่ามากกกก แทบไม่พอเลยค่ะ เดินยังไม่ทั่วเลย ผู้หญิงอ่ะนะ พอเริ่มช็อปปิ้ง ไฟเริ่มติดแล้ว เริ่มหยุดไม่ได้ สนุกมากค่ะ 55555+ 

ช็อปปิ้งเสร็จแล้ว ก็กลับไปเช็คอินที่สนามบิน ตอนแรกกะไปช็อปปิ้งที่ Duty Free ปิดท้าย แต่ว่าร้านใน Duty Free เริ่มทยอยปิดแล้ว ไม่รู้เป็นโชคดีหรือโชคร้ายเนอะ ( > < )

ท้ายสุด เลยจบทริปนี้แต่เพียงเท่านั้นค่าาาาาา


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น