19 มกราคม 2558

Day 8-11: Tokyo (1)

Day 1: Osaka กุหลาบงามกลางเดือนพฤษภาคม
Day 2: Osaka Amazing Pass
Day 3-4: Kyoto Aoi Matsuri
Day 5: Nara and Night bus to Kawaguchiko
Day 6: Kawaguchiko มาปั่นจักรยานกันเถอะ
Day 7: Fuji Shibazakura Festival
Day 8-11: Tokyo (1)
Day 8-11: Tokyo (2) - Kawasaki

∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇

วันที่ 8, 10 และ 11 เราเที่ยวในโตเกียวล้วนๆ เลยค่ะ แล้วเที่ยวไม่เยอะมากค่ะ หมดเวลาไปกับการช็อปปิ้งและนอนตื่นสาย อีกทั้งเราแทบไม่ได้หาข้อมูลไปก่อนเลย เรียกว่าแทบไม่มีข้อมูลอะไรจะให้เลยค่ะ เลยขอรวบไว้ในบล็อกเดียว

แต่ขอแนะนำหนังสือท่องเที่ยว 1 เล่ม เพื่อนเรายืมมาจากห้องสมุดค่ะ
มันดีเลยล่ะ ใครตั้งใจเที่ยวในโตเกียว + รอบๆ แนะนำเล่มนี้เลยค่ะ 
เราก็ดูจากเล่มนี้แหละ หรือถ้าพูดให้ถูกคือเล่มนี้ช่วยชีวิตเราไว้เลยค่ะ :D



ส่วนวันที่ 9 เราจะออกไปนอกเมืองกัน ขอแยกไว้อีกบล็อกนึง
= -- = -- = -- = -- = -- =

หลังจากความดราม่าในชีวิตผ่านพ้นไป 
สิ่งแรกที่ต้องทำ คือ การเข้าวัดทำบุญ ^-^

และแน่นอนว่า ถ้าพูดถึงวัดในโตเกียว ทุกคนต้องคิดถึง "วัด Sensoji" หรือที่คนทุกคุ้นเคยกันในชื่อ "วัด Asakusa"

วัด Sensoji





วัดเซ็นโซจิ (Sensoji) เป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโตเกียว มีสัญลักษณ์สำคัญคือ โคมไฟสีแดงขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านหน้าทางเข้าวัด วัดนี้ตั้งอยู่ในย่าน Asakusa ทำให้บางคนก็เรียกว่าวัด Asakusa

พอเดินผ่านโคมไฟสีแดงเข้าไปแล้ว เราจะเจอกับถนน Nakamise ซึ่งเป็นถนนที่เต็มไปด้วยร้านค้า ขายของฝาก ขนม ของที่ระลึก บลาๆๆๆ เรียกได้ว่าคอยดึงคนตั้งแต่ยังไม่เข้าถึงวัดเลยก็ได้ 
ตอนไปญี่ปุ่นครั้งแรก เมื่อสิบกว่าปีก่อน เราไปกับทัวร์ ไกด์ต้องคอยย้ำว่าให้ไปไหว้พระที่วัดก่อน แล้วค่อยมาช็อปปิ้งตอนขากลับ ...ไม่อย่างนั้นคนคงหยุดกันอยู่ตรงนี้แหละ ไม่ถึงตัววัดสักที
แต่รอบนี้ เรากับเพื่อนมุ่งมั่นเรื่องการไปวัดมาก ไม่ได้แวะร้านไหนเลยค่ะ ตรงดิ่งไปที่ตัววัดเลยค่ะ




ก่อนถึงตัววัด ก็เช่นเดียวกับวัดที่ญี่ปุ่นวัดอื่นๆ คือจะมีน้ำให้เราตักล้างมือ ชำระล้างร่างกายให้สะอาด (ล้างมือพอนะคะ บางคนอาจจะบ้วนปากด้วย แต่ไม่มีใครถึงขั้นอาบน้ำหรอกนะ 5555+) 
หลังจากล้างมือเสร็จ ก็ไปซื้อธูปเพื่อไหว้พระทำบุญค่ะ 
พอปักธูปแล้ว เป็นธรรมเนียมเลยว่า เราจะต้องโบกธูปเข้าหาตัว เป็นเหมือนการนำสิ่งดีๆเข้ามาให้ตัวเองค่ะ (แสบตามาก ยังกะอยู่ในวัดเล่งเน่ยยี่เลยทีเดียว)

ขั้นตอนการไหว้พระขอพรยังมีอยู่อีกนิดหน่อย แต่บอกตามตรงว่าจำไม่ได้แล้ว T^T (จะมีการไหว้ ตบมือ โยนเหรียญ สั่นกระดิ่ง ขอพร แต่มันจะมีขั้นตอนอยู่ค่ะ ...เอาเป็นว่ามองหาคนญี่ปุ่นแล้วทำตามล่ะกันนะ)
ที่นี่เราได้ไปเสี่ยงเซียมซีด้วย มีภาษาอังกฤษด้วยค่ะ ไม่ต้องห่วง
ส่วนเรื่องเครื่องรางบอกเลยว่าราคาสูงกว่าที่เกียวโตพอสมควรเลย  

บริเวณรอบๆวัด จริงๆ มีจุดที่น่าสนใจหลายจุดนะคะ ถ้ามีเวลาอยากให้ลองเดินไปเรื่อยๆ


Imperial Palace




จุดมุ่งหมายของเรา คือ สะพานแว่นตา แต่งงกับประตูมากมาย เดินไปเดินมาเจอแต่พิพิธภัณฑ์กับดอกหญ้า จนในที่สุดถึงได้รู้ว่ามาผิดทาง...
แต่ไม่เป็นไรค่ะ สนุกดี แต่เห็นอีกบรรยากาศหนึ่ง ที่สำคัญคนน้อยมากๆ สถานที่เป็นของเรา 555+




จากที่นี่ เดินข้ามไปสวนสาธารณะค่ะ จะมีคุณซามูไรอยู่ 
(มีประวัติอยู่ในหนังสือที่แนะนำไปข้างบนค่ะ ...เราจำไม่ได้แล้ว)



ตลาดปลา Tsukiji

หลงตามเคยค่ะ เดินเลยตลาดไปเฉยเลย กว่าจะรู้ตัวแล้วเดินกลับมาก็เริ่มสายแล้ว ดูประมูลปลาไม่ทัน T^T

ไม่เป็นไรค่ะ ไปทานซูชิกันดีฟ่าาาาา
แถวยาวได้ใจ แต่ไม่เป็นไร เราไม่หิว เรารอได้
ร้านนี้ ไม่น่าใจว่าชื่อร้านอะไร แต่มันจะมีอยู่สองร้านที่คนต่อแถวยาวๆ เราก็เลือกเอาร้านนึงคือร้านนี้ (เหตุผลเพราะเราเดินมาร้านนี้ก่อน)





เชฟแนะนำให้ทานเป็นเซ็ทค่ะ ...จริงๆ เราไม่อยากทานเซ็ท เพราะมันเช้ามาก ปกติเราไม่ได้ทานข้าวเช้ากลัวจะอิ่มเกินไป ท้องจะรับไม่ไหวเอา แต่เพื่อนบอกว่าไหนๆก็มาถึงนี่แล้ว ยังไงก็ต้องลองนะ แถมเชฟเฮีย recommend มาก ก็เลย เอาก็เอาว่ะ !

รสชาติไม่ต้องพูดถึง อร่อยมาก สดมาก ขนาด "อุนิ" ที่เราเคยเล่าไปในบล็อคก่อนหน้านี้ว่ารสชาติแย่เกินบรรยาย ที่นี่ยังถือว่ากินได้ค่ะ (สำหรับเรา อุนิ มันก็ไม่อร่อยอยู่ดี แต่อันนี้คือไม่ทรมานจะเป็นจะตายแบบครั้งแรกที่ได้ลอง)




ย่าน Shopping

เราไม่ได้ไปทั้งหมดในวันเดียวนะคะ กระจายไปหลายวัน แต่ขอรวบเอาไว้ด้วยกัน
ในโตเกียว เราเที่ยวค่อนข้างน้อยมาก หนักไปทางช็อปปิ้งกันเยอะ ส่วนใหญ่ไม่ซื้อด้วย เป็นการเดินดูซะมาก (ก็ผู้หญิงอ่ะนะ)
ยกตัวอย่างง่ายๆ โดยปกติ คนทั่วไปมักจะจัดตารางเที่ยว Shibuya - Harajuku (+ศาลเจ้าเมจิ) - Shinjuku ใน 1 วัน
แต่กรณีของเรา ไปได้แค่ Shibuya กับ Harajuku เท่านั้นค่ะ แถมไปศาลเจ้าเมจิไม่ทันอีกต่างหาก ไปถึงศาลเจ้าก็ถึงเวลาปิดพอดี เพราะมัวแต่หลงกับการดูของที่ Shibuya (แค่ Tokyu Hand ห้างเดียว อยู่กันประมาณ 4 ชั่วโมง - -")

Akihabara
ย่าน Akihabara เป็นย่านที่เหล่าคนรักการ์ตูนต้องมาค่ะ โอตาคุทั้งหลายมารวมกันอยู่ที่นี่แหละ แต่เนื่องจากเพื่อนเราที่ไปด้วยกัน นางไม่มีความสนใจในการ์ตูนญี่ปุ่นเลย เราเลยไม่ได้เดินที่นี่มากนักค่ะ 

เป้าหมายการมาที่นี่ของเรา คือ การตามหากันพลาให้น้องชายที่ห้าง Yodobashi
กันดั้มเยอะมากกกกกก พอไปถึงแผนกกันดั้ม เราเปิด video call กับน้องชาย น้องชายเห็นของที่ขายแล้ว ตาลุกวาว แทบจะกระโดดเอาตัวเองส่งผ่านสายโทรศัพท์ข้ามประเทศมาเลยทีเดียว




ข้อดีของการซื้อของที่ห้าง Yodobashi คือเราสามารถทำ Tax free ได้เลยค่ะ 

อย่างเราซื้อกันพลา 3 ตัว ก็เกิน 10,000 เยนแล้ว (น้องบอกว่าถูกมาก อยากให้ซื้อมากกว่านี้ แต่เราไม่ยอมค่ะ เราไม่มีปัญญาแบก แค่สามกล่องนี่เราก็เกือบตายแล้ว มันไม่หนัก แต่กล่องใหญ่มาก) ทำ Tax free ตรงนั้นได้เลย จ่ายเป็นราคาหัก Tax แล้ว

Shibuya




แน่นอนว่าที่นี่เป็นสวรรค์ของนักช็อป มีห้างและร้านค้าที่น่าสนใจเยอะมากกกกก (ก ล้านตัว) 
ความเห็นส่วนตัว ถ้ามีอารมณ์อยากจะช็อปปิ้งละก้อ เอาผู้หญิงคนหนึ่งมาทิ้งไว้ที่นี่ได้เป็นอาทิตย์ค่ะ เดินไปได้เรื่อยๆ ไม่เมื่อย ไม่เหนื่อย 5555+

ตัวเราเองก็เดินไปเรื่อยๆค่ะ พวกเครื่องสำอาง เราได้ซื้อมาแล้วบ้างจากที่โอซาก้า พอมาที่นี่ก็ยังซื้ออีกค่ะ (ตอนเราไปเดือนพฤษภาคม Tax free กับกลุ่มขนมและเครื่องสำอางยังไม่ได้ แต่ตอนนี้ได้แล้วนะคะ :D)
ร้านขายยาทั้งหลายมีตลอดทางค่ะ ทุกหนทุกแห่ง เดินยังไงก็เจอ (ประหนึ่งการเจอร้าน Etude ตอนเดินที่เมียงดงในเกาหลีเลยทีเดียว)

ห้างที่เราตั้งใจไป คือ Tokyu Hand กับ Loft ค่ะ 
แต่พอถึงเวลาจริงๆ เดิน Tokyu Hand อย่างเดียวก็หมดเวลาแล้ว 
ต่อด้วย Disney store ก็เย็นพอดี 
ผู้หญิงกับการเดินดูของช็อปปิ้งนี่มันคู่กันจริงๆ นะ ;P

Harajuku




Harajuku เป็นแหล่งวัยรุ่นที่เค้าว่ากันว่าจะมีคนแต่งคอสเพลย์มาประชันกันเยอะ แต่.....ต้องเป็นวันเสาร์-อาทิตย์ค่ะ เราไปวันธรรมดา แทบไม่เจออะไรเลย....

จริงๆ เราอยากไปศาลเจ้าเมจิมากๆ เลยค่ะ มีหลายคนไปแล้วเจอพิธีแต่งงานแบบญี่ปุ่น ...อยากเจอบ้าง
แต่อย่างที่บอกไปในข้างต้น หลงอยู่ในชิบูย่านานไปหน่อย (แหะๆ จริงๆ ก็ไม่หน่อยอ่ะค่ะ) กว่าจะเดินมาถึงฮาราจูกุ ก็หกโมงเย็นแล้ว ศาลเจ้าปิดพอดี เลยไม่ได้เดินเข้าไป

(วันที่เราไปฮาราจูกุ เห็นคนต่อแถวยาวมากกกกกกกกกกก เราสงสัยว่าเค้าต่อแถวอะไรกันเลยเดินไปดู ปรากฏว่า.....ต่อแถวซื้อ Garrett popcorn กันจ้าาาาา เป็นทุกประเทศจริงๆ)

เมื่อศาลเจ้าปิดแล้ว ไม่เป็นไร
ที่เช็คอินต่อไปของเราคือ ร้านเครปค่ะ ^-^

แต่ระหว่างทางก่อนจะถึงร้านเครป เราจะเดินผ่านร้าน 100 เยน
ถามว่า จะพลาดมั้ย?
ตอบเลยว่า ไม่!!!! ไม่พลาดแน่นอน หลงอยู่ในร้าน 100 เยนอีกนานมากกกกก 5555+
ได้ของมาเล็กน้อยถึงปานกลาง (หนึ่งในของที่ได้มานี้ จะมาช่วยชีวิตเราในวันแพ็คกระเป๋ากลับด้วย ราคาเบาๆ แต่ประโยชน์มหาศาล)

ร้านเครปจะมี 2 ร้านตั้งประจันหน้ากันอยู่ คือ ร้านสีชมพู กับ สีน้ำเงิน
มีคนบอกว่าอร่อยทั้งสองร้าน ซึ่งไม่รู้ว่าจริงมั้ย เพราะเราทานร้านเดียว 
ส่วนตัวแล้วเห็นว่า อร่อยดี แต่ไม่ได้ประทับใจอะไรมากมายค่ะ 
(เราชอบกินเครปร้อนแบบแข็งๆ ใส่หมูหยองพริกเผาอะไรแบบนี้ที่บ้านเรามากกว่าเครปนิ่มรสหวานอ่ะค่ะ) 

Ginza
ย่านนี้เป็นย่านแบรนด์เนมโดยแท้ 
เราตั้งใจไปเดินเท่านั้น กินบรรยากาศ แต่คงไม่ซื้ออะไร (ซื้อไม่ลง)

แต่.... (แต่ อีกแล้ววววว) .... สุดท้ายก็ได้ของจากร้าน GU




GU เป็นแบรนด์ลูกของ Uniqlo ค่ะ ราคาจะต่ำกว่า คุณภาพก็ปานกลาง ไม่ได้ดีเท่าไหร่
แต่มันถูกจริงๆ เว้ยเฮ้ย!
โดยเฉพาะของท่ีลดราคาอยู่ เดรสเหลือตัวละไม่ถึง 300 ผ้าอย่างหนา ทิ้งตัวดีมาก เสื้อแขนยาวน่ารักมากตัวละ 180 บาท เสื้อเชิ้ตผู้ชายเหลือตัวนึงไม่นึง 200 สวยด้วย  
....แหม ราคายังกะตลาดนัดบ้านเราขนาดนี้ จะไม่ซื้อยังไงไหวเนอะ (พยายามหาข้ออ้างให้ตัวเองตลอดเวลา 555+) 

Ameyoko 




ตลาด Ameyoko เป็นที่เลื่องชื่อลือชาอย่างมากในหมู่คนไทย คงไม่ต้องพูดอะไรกันแล้ว
เรามาที่นี่ เพราะตั้งใจไปตึกม่วง หรือตึก Takeya เพื่อซื้อขนมโดยเฉพาะเลยค่ะ

ที่ Takeya จะมีหลายตึกเลยค่ะ แยกตามประเภทของสินค้า 
ดังนั้นก่อนเดิน ต้องคิดก่อนนะคะว่าเราตั้งใจจะไปซื้ออะไร แล้วดูว่ามันอยู่ตึกไหน ค่อยไป ถ้าเดินมั่วๆ เกรงว่าจะเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์

เรากับเพื่อนตั้งใจไปซื้อกลุ่มขนม ชาเขียว และผงโรยข้าวโดยเฉพาะ ซึ่งหมวดของกินนี่ หาง่ายมาก เดินผ่าน Ameyako ไปปุ๊ป เริ่มเห็นตึกสีม่วงๆ จะเจอโซนของกินก่อนเลย 

ข้างในวุ่นวายมากๆ คนเยอะมากๆ โดยเฉพาะคนไทย เราเจอคนไทยที่นี่เยอะมาก รู้สึกประหนึ่งเดินอยู่โลตัสเลยทีเดียว 555+ เดินไปเราก็แอบฟังแอบดูไปค่ะว่าเค้าซื้ออะไรกัน เผื่อมีอะไรน่าสนใจเราจะได้ซื้อตาม 
ถ้าวันไหนมีเวลาจะมาเล่าถึงสารพัดของที่ซื้อมาให้ฟังอีกครั้งค่ะ  


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น