26 พฤศจิกายน 2557

Day 6: Kawaguchiko มาปั่นจักรยานกันเถอะ

Day 1: Osaka กุหลาบงามกลางเดือนพฤษภาคม
Day 2: Osaka Amazing Pass
Day 3-4: Kyoto Aoi Matsuri
Day 5: Nara and Night bus to Kawaguchiko
Day 6: Kawaguchiko มาปั่นจักรยานกันเถอะ
Day 7: Fuji Shibazakura Festival
Day 8-11: Tokyo (1)
Day 8-11: Tokyo (2) - Kawasaki

∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇

ความเดิมตอนที่แล้ว
เราเดินทางออกจากเกียวโตมายังคาวากูจิโกะโดย night bus 
ตอนออกจากเกียวโต ล้อรถหมุนตามเวลาเป๊ะเลย คือ 23.18 น.
และตามตารางเวลา เราจะต้องเดินทางมาถึง Kawaguchiko station ตอน 8.23 น.

ตอนอยู่บนรถ ตื่นขึ้นมาสักพัก เรามองออกไปด้านนอกก็เห็น.....


กรี๊ดดดดดดดดด อากาศดีผุดๆ ไม่มีเมฆเลยค่า (แต่มันไม่ได้เป็นแบบนี้ทั้งวันหรอกนะคะ)

ระหว่างทางเราก็ลุ้นตลอดว่าจะถึง Kawaguchiko station ตอน 8.23 น. จริงมั้ย

แต่เอาเข้าจริง

ไม่ตรงค่ะ!
แต่มาถึงก่อนเวลา!! ถึงตั้งแต่ 8 โมงนิดๆ




1 คืนที่นี่ เราจะพักกันที่ K's House Mt. Fuji ซึ่งจะตั้งอยู่ค่อนข้างไกลจากตัว Kawaguchiko station ดังนั้น เราเลยนัดทาง K's House มารับตอนประมาณ 8.30 น.

แต่เราว่าวิธีนี้ มันไม่ค่อยเวิร์คค่ะ
เพราะที่แรกที่เราจะไปกันวันนี้ คือ Chureito Pagoda หรือเจดีย์แดง ซึ่งการเดินทางต้องนั่งรถไฟไปจาก Kawaguchiko station หากเราไปที่ K's House ก่อนมันจะทำให้วนไปวนมาและเสียเวลาค่อนข้างมาก

แนะนำให้เอากระเป๋าฝากไว้ที่สถานี แล้วไปที่เจดีย์แดงเลยค่ะ แล้วค่อยเรียกโรงแรมมารับหลังจากเที่ยว เสร็จแล้ว 
(ถ้าทำแบบนี้ จะทำให้เราไปถึงเจดีย์แดงในช่วงเช้าอยู่ ทำให้ถ่ายรูปสวยค่ะ จะไม่ย้อนแสง 
เรามัวแต่วนไปวนมา ทำให้กว่าเราจะไปถึงก็ 10 โมงกว่า เริ่มถ่ายรูปยากแล้วค่ะ)

ที่ Kawaguchiko station จะมีจุดฝากกระเป๋า 2 จุด
1) Coin locker 
ถ้ามองจากภาพด้านบน coin locker จะอยู่ที่ด้านขวาของตัวสถานีค่ะ
มี coin locker หลายขนาดเลย แต่สำหรับใบใหญ่สุด อาจมีไม่มากนัก ถ้าเต็มแนะนำให้ไปที่จุดที่ 2
2) ฝากกับเจ้าหน้าที่ 
จุดที่สามารถฝากได้ถือบริเวณห้องที่ขายตั๋ว (Ticket office) 
ถ้าเราเดินเข้าจากด้านหน้าของสถานี Ticket office จะอยู่ทางซ้ายมือ หลังจากเลี้ยวซ้ายเดินเข้าไปแล้ว เคาน์เตอร์ขายตั๋วจะอยู่ด้านขวามือของเรา ส่วนจุดที่รับฝากกระเป๋าคือจุดที่อยู่ตรงหน้าเรา ให้มองตรงไปเลยค่ะ ...ฝากกระเป๋าตรงนี้ จะถูกกว่า coin locker นะคะ (แต่เราจำไม่ได้ว่าเท่าไหร่)

ตอนแรก เรากะจะฝากกับเจ้าหน้าที่นี่แหละ แต่ทางโรงแรมบอกเราว่า จุดที่รับฝากกระเป๋าคือ Tourist Information (อยู่ซ้ายมือสุดของตัวสถานี เป็นเหมือนอาคารย่อยแยกออกมาอีกอาคารนึง) พอไปถามเค้าบอกว่าไม่ได้รับฝากกระเป๋าค่ะ เราเลยเอาไปฝากที่ coin locker 
พอฝากเสร็จ ตอนที่ไปจองตั๋วรถบัสเพื่อเข้าโตเกียว ถึงได้เจอจุดฝากกระเป๋าที่ถูกต้อง

Chureito Pagoda หรือ เจดีย์แดง

การเดินทาง
จาก Kawaguchiko station ให้นั่งรถไฟไปที่สถานี ShimoYoshida station (300 เยน) โดยเราจะต้องเปลี่ยนรถไฟเป็นสาย Fujikyu Railway line ที่ Fujiyoshida station ก่อนครั้งหนึ่ง 
พอถึง ShimoYoshida station จากนั้นก็เดินค่ะ จะมีป้ายบอกทางเป็นระยะๆ

ถ้าเดินไปเจอโทริอิสีแดงแบบนี้ ใกล้แล้วค่ะ จากตรงนี้ไปแหละเดินเหนื่อย เพราะเดินขึ้นบันได ชันมาก 

 

มองกลับลงไป จะเห็นเลยว่ามันสูงเอาเรื่อง
แต่เราจะเห็นฟูจิซังอยู่ตลอดเวลา เป็นกำลังใจให้เราเดินต่อไป (เริ่มมีเมฆมาบังฟูจิซังแล้ววว)

และในที่สุด เราก็เจอกับเจดีย์แดงค่ะ


เดินขึ้นไปอีกค่ะ เราถึงจะพบกับมุมมหาชน!!!!




ที่นี่เจอกรุ๊ปคนไทยอีก 2-3 กรุ๊ป กับคุณลุงช่างภาพชาวญี่ปุ่นอีก 1 คน
ตอนขึ้นไปครั้งแรก ยังมีเมฆบังฟูจิซังค่ะ แต่พออยู่ไปเรื่อยๆ อีกสักพัก ฟ้าก็โปร่ง เมฆก็หายไป โชคดีสุดๆ :D

แถมขากลับยังไปค้นพบอีกมุมนึงค่ะ


วันนี้ ทำบุญมาดีจริงๆค่ะ

จากที่นี่ เราก็หาอะไรรองท้องแล้วก็เดินชิลไปเรื่อยค่ะ กว่าจะกลับถึง K's House อีกทีก็บ่ายสองกว่าๆแล้ว

ที่ K's House มีจักรยานให้เช่าด้วยค่ะ
เดิมที่เรากะซื้อ Retro bus pass เที่ยวรอบๆ ทะเลสาบ แต่พอเห็นจักรยานก็เปลี่ยนใจ ตัดสินใจปั่นจักรยานแล้วกัน! 

ขอบอกเลยค่ะ ว่าเป็นการตัดสินที่ถูกมากๆๆๆๆ (บอกแล้วว่าวันนี้ทำบุญมาดี)
ได้รูปฟูจิซังสวยๆ หลากหลายมุมมากค่ะ

เส้นทางการปั่นจักรยานของเรา


จุดสีเหลือง คือ K's House ค่ะ
ขาไป เราปั่นอ้อมไปรอบๆ ทะเลสาบทางทิศตะวันออก 
จากเส้นทางนี้ เราจะผ่านสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆ ของ Kawaguchiko เกือบทั้งหมดค่ะ แล้วจุดสุดท้ายของเรา คือ Oishi park 

Kachi Kachi Ropeway (9.00-17.00)
อยู่ที่จุดสีแดงตามแผนที่ด้านบนค่ะ

Tips ที่ Lobby โรงแรมมักจะมีบัตรลดค่าเข้าสถานที่ท่องเที่ยวใน Kawaguchiko อยู่ค่ะ อย่าลืมไปเอามาใช้น้าาา 



ที่นี่มีขนมขึ้นชื่อ (?) ที่ขายอยู่ด้านบน คือ ทานุกิดังโงะ


รสชาติไม่ต้องพูดถึง 

เหมือนเอาแป้งเหนียวๆ จิ้มซอสโชยุ แล้วมาทาน (ครั้งเดียวเกินพอ T^T)

อีกที่ ที่ตอนแรกคิดว่าจะแวะ คือ Music Forest 
แต่มันปิด 17.30 ซึ่งตอนที่เราปั่นไปถึงก็เกือบห้าโมงแล้วค่ะ เลยไม่ได้เข้า  

ช่วงที่ปั่นจักรยานเจอจุดถ่ายรูปสวยๆ เยอะเลยค่ะ
โดยเฉพาะช่วงด้านเหนือของทะเลสาบ บางช่วงจะมีเส้นทางสำหรับจักรยานและคนเดินอยู่ค่ะ ไม่จำเป็นต้องไปปั่นบนถนนทั้งหมด เส้นนี้ วิวสวยมากกกกก 

จุดสุดท้ายของเราอยู่ที่ Oishi Park
จุดเด่นของที่นี่คือ ดอกไม้ แต่ตอนเราไป มันยังไม่ค่อยบานเท่าไหร่ เลยไม่ได้สวยมากมาย 
แต่นะ เราอิ่มเอมกับฟูจิซังทั้งวันเลยค่ะวันนี้ 

เหล่านี้เป็นภาพฟูจิซังระหว่างทางที่ปั่นจักรยานค่ะ

บ่น: เสียดายอยู่อย่าง memory กล้องเราเต็มค่ะ --- เพิ่งครึ่งทริปเองง่ะ ทำให้ต้องประหยัดเม็มอย่างมาก และเริ่มใช้ iPhone ถ่ายเป็นหลักแทนกล้อง วันนี้ยังใช้กล้องได้ค่ะ แต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป iPhone ล้วนๆ






ขากลับ เราปั่นกลับคล้ายๆ ทางเดิม แต่แทนที่จะปั่นอ้อมทะเลสาบทางทิศตะวันออกทั้งหมด ก็ปั่นตัดข้ามสะพานกลับมาที่ K's House ได้เลยค่ะ (เส้นสีแดง)
บรรยากาศบนสะพาน 


ตอนปั่นขากลับ พระอาทิตย์ตกพอดีค่ะ 
และนี่คือโฉมหน้าน้องจักรยานที่รวมทุกข์รวมสุขในวันนี้


บนสะพาน รถวิ่งกันน้อยมากๆ คิดดูว่าขนาดถ่ายพาโน ยังไม่ติดรถสักคันเลยอ่ะค่ะ


รวมเวลาที่ใช้ทั้งหมดประมาณ 3 ชั่วโมงกว่าๆ
กลับถึง K's House ตอนเกือบๆ ทุ่มค่ะ 


mini Review: Toyoko inn Kyoto Shijo Karasuma

ด้วยความที่ Toyoko inn Kyoto Shijo-Karasuma ก็เป็นโรงแรมในเครือ Toyoko inn เหมือนกับ 
Toyoko inn Osaka Shinsaibashi Nishi ที่เราพักที่ Osaka

สภาพของห้องก็เลยไม่ได้แตกต่างกันมาก แต่ที่นี่ห้องจะใหญ่กว่าที่ Osaka เล็กน้อย (และแพงกว่าด้วย)

แต่ที่เรารู้สึกประทับใจเป็นพิเศษ คือ สถานที่ตั้งโรงแรมค่ะ

การเดินทาง 
Near the No.20 exit of Shijo Subway Station and Hankyu Karasuma Station



นี่เป็นการเดินทางไปยังโรงแรมตาม website ของ Toyoko inn ค่ะ
จะเห็นได้ว่าเค้าใช้คำว่า "near" ซึ่งแบบมัน near จริงๆอ่ะค่ะ 
ตอนพักที่โอซาก้าว่าใกล้กับสถานีรถไฟแล้ว ที่นี่ใกล้กว่าอีก เราเกือบเดินเลยแล้ว 

แถมย่านนี้ คึกคักมากค่ะ มีร้านค้าและห้างสรรพสินค้าตลอดสองฝั่งถนน
ฝั่งตรงข้ามเยื้องๆกับโรงแรมมี Family mart ด้วยไม่ต้องกลัวอดตาย

แล้วนอกจากโรงแรมจะใกล้สถานี Karasuma (Hankyu line) และสถานี Shijo (Kyoto subway: Karasuma line) ตามชื่อโรงแรมแล้ว

ยังสามารถเดินไปจนถึงสถานี Kawaramachi (Hankyu line) และสถานี Gion-Shijo (Keihan line) ได้ด้วย 
ทำให้แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ใจกลางการคมนาคมของเกียวโตอย่าง Kyoto station แต่ก็ไม่ลำบากอะไร


นอกจากนี้ จากโรงแรมเรายังสามารถเดินไปยังสถานที่ที่น่าสนใจได้หลายแห่ง เช่น
- Nishiki market (อันนี้ เราเพิ่งมารู้ตอนกลับมาเมืองไทยแล้ว เสียดายมากๆๆๆๆ)
- ย่าน Shopping (จะอยู่ในซอยช่วงก่อนถึงสถานี Kawaramachi) รู้สึกว่าจะเรียกว่า Teramachi Kyogoku หรือไม่ก็ Shinkyogoku นี่แหละค่ะ (ไม่แน่ใจ) / ห้างสรรพสินค้าต่างๆ (ขนาด LV ยังมี shop อยู่บริเวณนี้เลยค่ะ)
- ริมแม่น้ำ Kamo (เราเดินไปทุกวันเลย จากโรงแรมถึงแม่น้ำประมาณ 1 km บรรยากาศริมแม่น้ำดีมากๆ โดยเฉพาะตอนเย็นๆ จะมีคนมานั่งเล่นกันเยอะเลย ใครอยากซึมซึบบรรยากาศเกียวโตขนานแท้ แนะนำให้ไป)



- ย่าน Pontocho เป็นอาคารแบบเก่าๆ คล้าย Gion แต่ส่วนใหญ่จะเป็นร้านอาหารค่ะ อยู่ซอยก่อนถึงแม่น้ำค่ะ (เพราะฉะนั้น ร้านอาหารฝั่งขวาจะเป็นร้านที่ติดแม่น้ำ Kamo)



- ย่าน Gion และศาลเจ้า Yasaka อันนี้ ต้องเดินข้ามแม่น้ำไปหน่อยนึงก็ถึงแล้วค่ะ

ใครร่างกายแข็งแรง เดินเก่งๆ หน่อย สบายมากค่ะ หรือถ้าไม่อยากเดินจะนั่งบัสก็ได้ไม่ว่ากัน :D

Day 5: Nara and Night bus to Kawaguchiko

Day 1: Osaka กุหลาบงามกลางเดือนพฤษภาคม
Day 2: Osaka Amazing Pass
Day 3-4: Kyoto Aoi Matsuri
Day 5: Nara and Night bus to Kawaguchiko
Day 6: Kawaguchiko มาปั่นจักรยานกันเถอะ
Day 7: Fuji Shibazakura Festival
Day 8-11: Tokyo (1)
Day 8-11: Tokyo (2) - Kawasaki

∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇

: Kansai Thru Pass
: Night Bus จาก Kyoto ไป Kawaguchiko

วันนี้เราเริ่มต้นวันด้วยการไปซื้อตั๋ว Night bus จากเกียวโตไปคาวากูจิโกะที่ Kyoto Station


อย่างที่เคยบอกไปแล้วในบล็อกที่ได้สรุปการเดินทางทั้งหมดในทริปนี้

การจะไปคาวากูจิโกะจากเกียวโตด้วย Night bus นั้นมีทางเลือก 2 ทาง คือ
จากเกียวโตตรงเข้าคาวากูจิโกะเลย หรือ 
จากเกียวโตไปโตเกียวก่อน แล้วจากโตเกียวค่อยไปคาวากูจิโกะ
และรถบัสก็มีหลายเจ้าให้เลือก ราคาก็จะแตกต่างกันไป

ทริปนี้ ที่เราตัดสินใจไป Night bus นั้น เพราะ

1) ราคาค่อนข้างถูก ถ้าเทียบกับการเดินทางโดยวิธีอื่น
2) ประหยัดค่าโรงแรมได้อีก 1 คืน เพราะต้องนอนบนรถ 
...แต่ถ้าใครนอนหลับบนรถยาก อาจมีปัญหานะคะ เพราะจะเหนื่อยเอาการเลย แต่เรากับเพื่อนกินง่าย นอนง่าย แค่นี้ ส.บ.ม. ค่ะ

ครั้งนี้ เราตั้งใจไปจองตั๋วของ Kintetsu bus 


การจอง Kintetsu bus จริงๆ แล้วสามารถจองได้หลายช่องทาง

จองทาง internet ก็ได้ (มีค่าธรรมเนียมและภาษาญี่ปุ่นล้วนๆ) หรือทางโทรศัพท์ก็ได้ หรือไปจองที่ convenience store หรือคอนบินิ ทั้งหลายก็ได้
แต่เนื่องจาก Website ของ Kintetsu bus เป็นภาษาญี่ปุ่นล้วนๆ อาจทำให้ลำบากหน่อยค่ะ


ตอนแรก เรากะให้เพื่อนที่เป็นคนญี่ปุ่นจองให้ แต่เพราะบอกเพื่อนกะทันหันไปหน่อย เลยจองที่คอนบินิไม่ทัน (จะไปพรุ่งนี้ จองคืนนี้ ....แบบนี้ จองที่คอนบินิไม่ได้ค่ะ)

สรุปว่าวันนี้เลยต้องไปซื้อตั๋วที่ Kyoto Station เอง (ใครไปช่วงเทศกาล แนะนำให้ไปซื้อ/จองล่วงหน้านะคะ)


วิธีการเดินทางไปเคาน์เตอร์ Kintetsu bus 

ง่ายๆ คือ ตามหาทางเข้ารถไฟสาย Kintetsu ค่ะ

ถ้ามาถึง Kyoto station โดย subway พอออกจาก subway ให้เดินไปตามทางออก south exit #Hachijo
เดินไปเรื่อยๆจะเจอทางเข้าสำหรับ JR เดินผ่านไปค่ะ  -> ผ่านจากตรงนี้ไปจะเริ่มเข้าสู่โซนร้านอาหาร (อย่าเพิ่งหวั่นไหวค่ะ เดินต่อไป) -> เดินไปเรื่อยๆ จะเจอร้าน Uniqlo เล็กๆอยู่ขวามือ ติดกับร้าน Uniqlo จะเป็นบันไดเลื่อน -> เดินขึ้นบันไดเลื่อนไป มองขวามือไว้ จะเจอจุดที่ซื้อตั๋วเลยค่ะ (ตอนนี้ด้านหลังเราจะเป็นทางเข้ารถไฟสาย Kintetsu) 


จุดที่เราจะซื้อตั๋วรถบัสจะเป็นจุดเดียวกับที่ซื้อตั๋วรถไฟด้วย แต่ที่สำหรับซื้อตั๋วรถบัสจะอยู่เคาท์เตอร์สุดท้ายค่ะ (ถามพนักงานข้างในนั้นอีกทีก็ได้ค่ะ)

ส่วนที่ขึ้นรถจะอยู่ตรงใกล้ๆกับประตูทางออกซึ่งอยู่ตรงข้ามกับร้าน Uniqlo ที่เราเดินผ่านมาตอนแรกนั่นแหละ (พอเราซื้อตั๋วเสร็จ พนักงานจะบอกเราอีกที)



หลังจากที่เราจัดการซื้อตั๋วไปคาวากูจิโกะสำหรับคืนนี้เสร็จแล้ว โปรแกรมของวันนี้ก็ว่างแล้วค่ะ ไม่มีแพลนอะไรต่อ
แต่ด้วยความที่มันยังเช้าอยู่ แถมตอนนี้เราก็อยู่หน้าทางเข้ารถไฟสาย Kintetsu ที่จะไปนาราแล้ว ก็เลยตัดสินใจไปนารากันค่ะ

เรานั่งรถไฟสาย Kintetsu ไปลงที่สถานี KintetsuNara

จากนั้นก็เดินไปวัด Todaiji โดยเราเดินไปตามป้ายบอกทางเลยค่ะ 
ระหว่างทางจะผ่าน Nara Park แล้วก็พิพิธภัณฑ์อะไรสักอย่างด้วย
ระยะทางนั้นค่อนข้างไกลอยู่เหมือนกันค่ะ (เดินเหนื่อยหนึ่งหอบ) ถ้าในคณะมีเด็กเล็กหรือผู้สูงอายุแนะนำให้นั่งรถบัส

ช่วงที่เดินผ่าน Nara Park เราก็จะเจอน้องกวาง สัญลักษณ์ของนารา

ตรงจุดนี้เป็นอีกจุดที่มีขนมเซมเบ้ขาย เพื่อให้อาหารน้องกวางค่ะ
หรือถ้ายังไม่อยากให้ตรงนี้ ตรงด้านหน้าของวัด Todaiji ก็มีขนมขายอีกเหมือนกัน



วัด Todaiji






ภายในรอบๆ บริเวณวัด Todaiji ค่อนข้างกว้างเลยค่ะ มีจุดที่เป็นอาคารหรือเจดีย์ต่างๆ อยู่อีกหลายจุด
เสียดายว่าไม่ได้ศึกษาข้อมูลมาก่อนเลยไม่รู้ว่าแต่ละจุดคืออะไรยังไง 
ได้แต่เดินไปมั่วๆ 

หลังจากเที่ยวนารากันแล้ว เราก็เดินทางกลับมาถึงเกียวโตอีกครั้งประมาณ 5-6 โมงเย็น

ภารกิจต่อไปของเราคือ การเก็บตกเกียวโตและตามหา Kyoto Tower


มาเกียวโตตั้งหลายวันแล้ว ยังไม่ได้ถ่ายรูปกับ Kyoto Tower เลย ก็เลยเดินกันไปที่ทางออก North exit ของ Kyoto Station ค่ะ 

ออกจากสถานีปุ๊บ ก็เห็นเลย




ถ่ายรูปกันคนละแชะสองเเชะ พอเป็นพิธี 
เก็บตกเดินเล่นเกียวโตอีกเล็กน้อย 
แล้วค่อยไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้ที่โรงแรม พร้อมกับเปลี่ยนชุดสักหน่อย เพราะคิดกันเอาไว้ว่าอีกวันพอถึงคาวากูจิโกะแล้ว เราจะเที่ยวกันต่อเลย (ซักแห้งค่ะ 5555+)

จากนั้นก็แล้วกลับมารอขึ้น Night bus ที่ Kyoto station อีกครั้ง


Kintetsu bus จะเริ่มต้นจากรับคนที่โอซาก้าก่อนค่ะ แล้วไล่มาจนถึงเกียวโต

ตามตารางรถจะมาถึงเกียวโตตอน 23.18 น.

ขอบอกว่า 23.18 น. คือเวลารถออกนะคะ ดังนั้น ต้องไปถึงก่อนเวลานี้ อย่าไปช้ากว่านี้ เพราะรถออก โ-ค-ต-ร ตรงเวลาเลยค่ะ จริงจังมากกกกกก


รถเข้าเทียบท่าที่จะรับคนที่ Kyoto Station ตอน 23.15 น. 

ใช้เวลาประมาณ 3 นาทีในการเอาสัมภาระของผู้โดยสารที่ขึ้นจากเกียวโตขึ้นรถและตรวจตั๋ว 
จากนั้น 23.18 น. รถก็ออกเลยค่ะ 

แม่เจ้าาาาาาา ตรงเวลาได้น่าสะพรึงมาก


ตอนเราขึ้นรถ ผู้โดยสารที่มาจากโอซาก้าค่อนข้างเยอะเลยค่ะ มีขึ้นจากเกียวโตแค่ประมาณ 2-3 กรุ๊ปเอง


อ้อ! Kintetsu bus จะมีรถ 2 แบบนะคะ คือ แบบแถวละ 3 ที่นั่ง กับ 4 ที่นั่ง
(รายละเอียดของรถแต่ละแบบมีบอกอยู่ในเว็บไซต์ ซึ่งแม้จะเป็นภาษาญี่ปุ่น แต่ใช้ Google Translate แล้วเดาได้ค่ะ)


แบบ 3 ที่นั่ง
แบบ 4 ที่นั่ง
เราเลือกแบบ 4 ที่นั่ง ราคา 6200 เยนค่ะ
รถแบบ 4 ที่นั่ง คือ รถทัวร์บ้านเรานั่นเองค่ะ เหมือนรถ ป.อ.1 ทั่วไป (แต่มีช่องชาร์จแบตให้ด้วย)
ที่นั่งไม่กว้างมาก ถ้าใครขายาวๆ เข่าอาจชนได้
(ถ้าใครนั่งรถสายตะวันออก มันพอๆกับรถของเชิดชัยหรือพรนิภานั่นแหละ ถ้าใครนั่งรถสายเหนือ ระลึกไว้ว่ามันคือ ป.อ.1 ค่ะ (ประมาณ 40 ที่นั่ง) ไม่ใช่ VIP 32 ที่นั่งนะคะ)

ระหว่างทางมีการจอดรถพักให้คนได้ลงไปยืดเส้นยืดสายเหมือนเวลาเรานั่งรถสายเหนือด้วยค่ะ

แต่เราไม่ได้ลง เพราะหลับค่ะ 
ไม่มีสติอะไรทั้งนั้น รถจอดตอนกี่โมง ที่ไหน นี่เราไม่รู้เรื่องเลย
แค่สะลึมสะลือขึ้นมาดูว่ารถจอดนะ แล้วเราก็หลับต่อด้วยความรวดเร็ว 55555+

ตามตารางรถจะขึ้นคาวากูจิโกะตอน 8.32 น.

ขอยกไปตอนหน้านะคะว่ามันถึงกี่โมง...... :P

23 พฤศจิกายน 2557

Day 3-4: Kyoto Aoi Matsuri

Day 1: Osaka กุหลาบงามกลางเดือนพฤษภาคม
Day 2: Osaka Amazing Pass
Day 3-4: Kyoto Aoi Matsuri
Day 5: Nara and Night bus to Kawaguchiko
Day 6: Kawaguchiko มาปั่นจักรยานกันเถอะ
Day 7: Fuji Shibazakura Festival
Day 8-11: Tokyo (1)
Day 8-11: Tokyo (2) - Kawasaki

∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇

:: Kansai Thru Pass // Day 2
:: เพื่อนชาวเกียวโตอาสาพาเที่ยว

ขอรวบวันที่ 3-4 ในเกียวโตเข้าไว้ด้วยกันเลย เพราะเป็นช่วงวันที่ชิลสุดๆ พยายามซึมซับบรรยากาศแบบเกียวโตเอาไว้มากๆ + วันที่ 15 (Day 3) มีฝนตกลงมาแทบตลอดทั้งวัน ทำให้เที่ยวได้น้อย (บรรยากาศมันน่าขี้เกียจเอามากๆ)

วันนี้เรากับเพื่อนออกเดินทางจากโอซาก้ามาที่เกียวโตโดยใช้ Kansai Thru Pass เป็นวันที่ 2
การเดินทางจากโอซาก้าไปที่เกียวโตโดย KTP จะเดินทางโดยใช้รถไฟสาย Hankyu 
จากโรงแรม Toyoko Inn Shinsaibashi Nishi เราจะเดินทางไปยังสถานี Umeda (Subway) จากนั้นเดินไปที่สถานี Umeda (Hankyu) แล้วนั่งรถไฟสายนี้รวดเดียวไปถึงเกียวโตเลยค่ะ ใช้เวลาการเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง

ช่วงที่ต้องเดินจากสถานี Umeda ที่เป็น subway ไปที่ Umeda ที่เป็นสาย Hankyu เราแอบหลงกันเบาๆ ค่ะ ....ก็เดินตามป้ายจนออกจากสถานีแล้ว หลังจากนั้นเกิดอาการงงว่าต้องไปทางไหนต่อ ซึ่งพลาดมาก มีเจ้าหน้าที่อยู่ก็ไม่ถาม มี internet ก็ไม่ยอมเปิด Google map นำทาง เดินออกมาเห็นขบวนรถไฟวิ่งอยู่ไกลๆ คิดกัน(ไปเอง)ว่า นั่นเลย ชัวร์! 
ว่าแล้วก็เดินกันไป จนถึงรางรถไฟ จึงค้นพบว่า 1. มันไม่มีตัวสถานี มันมีแต่ราง! และ 2. มันไม่ใช่สาย Hankyu แต่มันเป็น JR!
หมดแรง!!!
ว่าแล้วก็เปิด Google maps นำทางจ้าาา (ควรเปิดตั้งแต่ทีแรกแล้ว)
ปรากฏว่าจริงๆ จากตัวสถานี Umeda (subway) เดินไปนิดเดียวก็ถึงที่เป็นสาย Hankyu แล้วค่ะ เราดันไปเดินหลงซะอ้อมโลกเลย

ดังนั้น คำแนะนำ คือ ไม่รู้จักทางให้รู้จักถาม  ไม่งั้นจะเดินเหนื่อยฟรี

ตัดฉับมาที่เกียวโต

ที่เกียวโต เราจะพักกันที่ Toyoko inn Shijo-Karasuma 
หลังจากเอากระเป๋าไปฝากไว้ที่โรงแรมแล้ว ก็เกือบ 11 โมงแล้วค่ะ
เป้าหมายหลักของเราในวันนี้อยู่ที่ เทศกาล Aoi Matsuri

เทศกาล Aoi Matsuri

เทศกาล (มัตสึริ) ของเกียวโตมี 3 เทศกาลสำคัญ คือ Gion Matsuri, Jidai Matsuri และ Aoi Matsuri (Hollyhock festival)

สำหรับเทศกาล Aoi Matsuri จะจัดขึ้นในวันที่ 15 พฤษภาคมของทุกปี 

ข้อมูลของเทศกาล Aoi Matsuri
<<http://www.japan-guide.com/e/e3948.html>>
<< http://www.marumura.com/food/?id=1050 >>

ตอนที่ไปเราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเทศกาลนี้เลยค่ะ (กลับมาก็ยังไม่รู้ 555+)
รู้แต่ว่าเทศกาลนี้จะจัดขึ้นในวันที่ 15 พฤษภาคมของทุกปี ถ้าฝนตกก็อาจจะเลื่อนไปวันที่ 16 พฤษภาคม - - - ลุ้นมากค่ะ ดูพยากรณ์อากาศบอกว่าวันที่ 15 ที่เกียวโตจะมีฝนตก แต่เหมือนจะตกไม่หนัก เลยไม่รู้ว่าอะไรยังไงกันแน่ โชคดีที่เพื่อนที่เป็นคนเกียวโตคอยเช็คให้ตลอด จนเช้าตรู่วันที่ 15 เพื่อนก็คอนเฟิร์มว่าจัด 15 ไม่เลื่อนแน่ๆ

Aoi Matsuri เป็นเทศกาลที่เงียบมากค่ะ เงียบในที่นี้ คือ ไม่มีเสียงอะไรเลยจริงๆ
ลักษณะจะเป็นขบวนแห่ แต่คนในขบวนจะเดินกันเงียบๆเลยค่ะ ไม่มีเสียงจังหวะกลองดนตรีหรืออะไรเลยแม้แต่น้อย
เส้นทางการแห่ขบวนจะเริ่มต้นจาก Kyoto Imperial Palace ไปที่ศาลเจ้า Shimogamo จากนั้นก็จะมีการทำพิธีภายในศาลเจ้า Shimogamo จนถึงประมาณบ่าย 2 โมง แล้วจึงเคลื่อนขบวนแห่ไปที่ศาลเจ้า Kamigamo ค่ะ



อย่างที่บอกเราไปถึงเกียวโตก็เกือบ 11 โมงแล้ว ดูจากแผนที่ด้านบนก็เลยคุยกับเพื่อนว่าเราจะไปดักขบวนกันที่หน้าศาลเจ้า Shimogamo

การเดินทางไป ง่ายมากค่ะ เราใช้วิธีเดินตามฝูงชน 5555+
แทบทุกคนที่เราเห็นจะมีแผนที่คล้ายๆ กับด้านบนนี้อยู่ในมือค่ะ เราก็เดินตามไปเรื่อยๆ โดยเน้นที่แม่นางน้อยในชุดกิโมโนนางหนึ่งเป็นหลัก

แม่น้องนางนำเราเดินไปจนถึงสถานี Gion-Shijo (Keihan) จากนั้นนั่งรถไฟไปลงที่สถานี Demachiyanagi พอออกจากตัวสถานีจะเห็นทางเข้าศาลเจ้า Shimogamo เลยค่ะ

คนเยอะมากกกกกกกกกกก
หญิงที่มีความสูงน้อยอย่างเราลำบากมากมายค่ะ มองแทบไม่เห็นอะไรเลย ก็พยายามหาที่อยู่และแทรกตัวไปเรื่อยๆ จนในที่สุดถูกฝูงชนดันไปที่บนสะพานค่ะ
วิวนี้คือชัดเจนมากกกก ไม่มีคนบังเลย
แต่สักพักคุณพี่ตำรวจก็เริ่มมาไล่ไม่ให้ยืนบนสะพาน (เดาจากท่าทางเอาค่ะ ฟังไม่รู้เรื่องเลย) แต่ก็ยังคงมีคนหลั่งไหลมาที่สะพานอย่างต่อเนื่อง รูปที่เราถ่ายได้ ส่วนใหญ่ถ่ายจากบนสะพานนี้แหละค่ะ







สำหรับคนที่อยากเกาะติดภาพขบวนแห่โดยไม่ต้องเบียดเสียดฝูงชนมากนัก สามารถจองที่นั่งบริเวณด้านหน้าพระราชวังและศาลเจ้า Shimogamo ราคา 2,000 เยน และที่ศาลเจ้า Kamigamo ราคา 1,000 เยนค่ะ

พอขบวนแห่เข้าไปในศาลเจ้าทั้งหมดแล้ว ฝูงชนเริ่มสลายตัว ก็ค้นพบ....



นั่งพัก ถ่ายรูป เดินข้ามแม่น้ำกันอยู่พักใหญ่ๆ (โมเม้นท์การ์ตูนญี่ปุ่นอีกแล้ว > < )



จนเริ่มหิวค่ะ ก็ไปหาอะไรทานกันแถวๆนั้น
ปรากฏว่าออกมาฝนเริ่มตกหนักขึ้นค่ะ มองหน้าเพื่อน เอาไงดี?

ตัดสินใจไปวัดน้ำใส Kiyomizudera กันต่อค่ะ
โดยการนั่งรถบัส search google maps กันตรงนั้นเลยว่าต้องนั่งสายอะไร พี่ Google ว่าอย่างไร เราก็ไปตามนั้น
เดินๆๆๆๆๆ
จนถึงด้านหน้าวัด สุดท้าย ตัดสินใจ ไม่เข้า!!!

ถ้าถามว่าเหนื่อยมั้ย

ขอบอกเลยว่า มาก !!!!

วันนี้นัดเพื่อนไว้ค่ะ เพื่อนจะพาไปเลี้ยงข้าว
เพื่อนเป็นคนเกียวโตค่ะ จริงๆ เป็นเพื่อนของเพื่อนเราที่ไปด้วยกันอีกทีนึง หลายต่อเหลือเกิน ฮาาาา
เพื่อนน่ารักมากค่ะ นอกจากจะพาเรากับเพื่อนไปเลี้ยงข้าวแล้ว อีกวันนึงยังอุตส่าห์ลางาน ขับรถพาเรากับเพื่อนเที่ยวด้วย

ร้านอาหารที่เพื่อนพาไปเลี้ยงอยู่ย่าน Pontocho (เพิ่งรู้หลังจากกลับมาเมืองไทยว่ามันชื่อนี้) สามารถเดินไปจาก Toyoko inn Shijo-Karasuma ได้เลยค่ะ

เอาจริงๆ เข้าใจมาตลอดว่าที่นี่คือ Gion
จนกระทั่งกลับมาเมืองไทยหาข้อมูล (อย่างที่บอก ไปกระทันหันมาก หาข้อมูลไปน้อยมากๆ)
ถึงได้รู้ว่ามันไม่ใช่อ่ะ จอร์จ
ย่าน Gion ต้องข้ามแม่น้ำไปอีก

จบวันนี้ ด้วนความเฮฮาค่ะ

วันต่อมา เราจะไปเที่ยวเกียวโตกันแบบจริงจังแล้ว

เรื่องการเดินทาง เราคงแนะนำอะไรไม่ได้เลยค่ะ
เพื่อนเราขับรถพาเที่ยวทั้งวันเลย ไม่มีโอกาสได้สัมผัสขนส่างสาธารณะของเกียวโตเลยวันนี้

สภาพการจราจรโอเคมากค่ะ รถไม่ติดเลย มีแต่ติดไฟแดงเอง
แต่ที่ลำบากคือตอนหาที่จอดรถที่วัดทองค่ะ วนอยู่หลายรอบมากๆ

เริ่มต้นที่ วัดทอง Kinkakuji
ไปตามหาอิ๊กคิวซังกัน เฮ้ย! ม่ะใช่แล้ว


คนไทยเยอะมากกกกกกกก ใครไปไม่เจอทัวร์ไทยเลย แปลว่าไปผิดที่ 555+
นักเรียนก็เยอะค่ะ สงสัยมาทัศนศึกษากัน (เจอเกือบทุกที่เลย)
ขาออกเจอน้องๆ สัมภาษณ์ฝรั่งด้วย (สงสัยเป็นการบ้านให้ทำส่งอาจารย์แน่ๆ)

Nijo-jo


จุดเด่นของที่นี่ อยู่ที่พื้นค่ะ
ประมาณว่า ถ้ามีคนบุกรุกมา พื้นมันจะมีเสียงค่ะ (หน้านินจารันทาโร่ลอยขึ้นมาเลยค่ะ - - เคยดูกันมั้ย การ์ตูนเก่ามากแล้ว 555+)
ตอนแรก เราไม่รู้หรอก แต่น้องๆ นักเรียนที่เดินนำหน้าเรา เค้าเล่นกันใหญ่เลย ท่าทางสนุก เราเลยหันไปถามเพื่อนว่ามันคืออะไร พอฟังแล้ว เฮ้ยยยยยย มันมีเสียงจริงๆ ด้วย

พื้นที่ที่นี่กว้างมากค่ะ ใช้เวลาค่อนข้างพอสมควรเลย


ออกจากที่นี่
เพื่อนพาไปทาน ซูชิเวียนค่ะ
เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปชื่อร้านมา เพราะมันไม่ใช่ซูชิจานเวียนธรรมดา แต่มันอบบสนุกตรงที่มีกาชาปองให้เล่นด้วย

ที่โต๊ะแต่ละโต๊ะ จะมีตู้กาชาปองอยู่ด้วยค่ะ
เวลาใส่จานซูชิที่เราทานเสร็จแล้วกลับลงไปคืนในระบบครบ 5 จาน เกมส์จะเล่นเองอัตโนมัติ
ถ้าโชคดี เราจะได้ของเล่นในกาชาปองมาค่ะ เราเล่นกันไป 3-4 รอบ ได้มาอันนึงคือตอนเล่นรอบแรก 555+

ต่อที่ วัดน้ำใส Kiyamizudera



ศาลเจ้า Fushimi Inari




ตบท้าย เพื่อเซอร์ไพร์ส พาขับรถขึ้นเขาดูวิวเกียวโตตอนกลางคืนค่ะ


กลับมาถึงโรงแรม เรากับเพื่อนยังไม่จบค่ะ จะอยู่เกียวโตเป็นคืนสุดท้ายนิ่เนอะ
เดินไปที่แม่น้ำ Kamo กันอีกรอบ ไปเดินย่านเดิม คือ ย่าน Pontocho
แต่คราวนี้ไปเดินลัดเลาะกันข้างในไปอีก เจอคลองเล็กๆด้วย

p.s. ขากลับโรงแรม เจอแว๊นซ์ญี่ปุ่นด้วย เปิดเพลงด้วยเครื่องเสียงสนั่นเลย