28 ธันวาคม 2557

Day 7: Fuji Shibazakura Festival

Day 1: Osaka กุหลาบงามกลางเดือนพฤษภาคม
Day 2: Osaka Amazing Pass
Day 3-4: Kyoto Aoi Matsuri
Day 5: Nara and Night bus to Kawaguchiko
Day 6: Kawaguchiko มาปั่นจักรยานกันเถอะ
Day 7: Fuji Shibazakura Festival
Day 8-11: Tokyo (1)
Day 8-11: Tokyo (2) - Kawasaki

∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇

เมื่อวานนี้ เราใช้โชคที่มีหมดไปกับการได้เห็นฟูจิซังทั้งวันกันไปแล้ว วันนี้เราเจอแต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันทั้งวัน เชื่อมั่นว่าเราเป็น 1 ใน 1000 ที่มาญี่ปุ่นแล้วเจอสถานการณ์ทั้งหลายนี้ในวันเดียว!

แพลนของวันนี้คือ การไปชมเทศกาลดอกชิบะซากุระ หรือ Pink moss

Website official ของ Fuji Shibazakura Festival >> http://www.shibazakura.jp/eng/index.html
(มีหน้าภาษาไทยด้วย แต่แนะนำว่าดูหน้าภาษาอังกฤษดีกว่าค่ะ หน้าภาษาไทยอ่านแล้วงงมาก)

Fuji Shibazakura Festival เป็นเทศกาลการชมดอกชิบะซากุระที่จะจัดขึ้นในช่วงปลายเดือนเมษายนถึงประมาณสิ้นเดือนพฤษภาคมของทุกปี จุดเด่นของที่นี่อยู่ที่การมีดอกชิบะซากุระกว่า 800,000 ดอกและมีฉากหลังเป็นภูเขาไฟฟูจิ
ในแต่ละปี ช่วงเวลาที่จะเปิดให้เข้าชมนั้นจะไม่ตรงกัน ต้องคอยติดตามข่าวสารให้ดี

ในปี 2014 เทศกาลนี้เปิดให้เข้าชมตั้งแต่วันที่ 19 เมษายน - 1 มิถุนายน
แต่ช่วงที่สวยจริงๆ จะเป็นช่วงต้น-กลางพฤษภาคม ที่ดอกไม้จะบานพอดี 

สำหรับการเดินทางมาที่นี่
หลักๆ คือจะมีรถบัสจาก Kawaguchiko station ตรงไปที่บริเวณงาน Fuji Shibazakura Festival  (ใช้เวลาประมาณ 30 นาที)
โดยหากเราซื้อเป็นแพ็คเกจ ตั๋วรถไป-กลับ + ค่าเข้าชม จะอยู่ที่ราคา 1,900 เยน
หรือหากเริ่มต้นจากโตเกียว ที่ Shinjuku จะมีรถบัสที่ตรงมาที่งานนี้เลยโดยไม่ต้องมาต่อรถที่ Kawaguchiko station (สามารถดูรายละเอียดได้จากใน website Fuji Shibazakura Festival ข้างต้นค่ะ)

คำเตือน งานนี้เป็นงานที่ทั้งนักท่องเที่ยวและคนญี่ปุ่นเองให้ความสนใจอย่างมาก สิ่งที่เกิดขึ้นคือ รถติดมากกกกกก กรุณาคำนวณเวลาให้ดี 
30 นาทีจาก Kawaguchiko station ตามที่เว็บบอกนั้นเป็นเวลาที่ไม่รวมรถติดนะจ้ะ 
เราไปรถเที่ยวเช้าวันจันทร์ รถยังติดไม่มากค่ะ (อยู่กรุงเทพฯ จนชิน เรื่องรถติดนี่สบายมาก) ใช้เวลาประมาณชั่วโมงนึง แต่คุยกับพี่คนไทยคนหนึ่งที่เจอโดยบังเอิญ พี่เค้าไปงานนี้มาก่อนเรา เค้าบอกว่าเค้าไปช่วงบ่ายวันอาทิตย์รถติดอยู่ 2 ชั่วโมง ทำเอาเวลาที่วางไว้รวนหมดเลย

ตอนเช้าเราออกจาก K's house ไป Kawaguchiko station โดยรถของทางโรงแรม (ถ้าจะพูดให้ถูก คือ Hostel) 
สำหรับคนที่พักที่ K's house สามารถนั่งรถของทางโรงแรมได้ 2 ครั้ง คือ 
ขาไปเช็คอิน สามารถแจ้งเวลาให้รถไปรับที่ Kawaguchiko station ได้ 
ขาเช็คเอ้าท์ออก ถ้าต้องการให้รถไปส่ง จะต้องไปลงชื่อที่เคาท์เตอร์เช็คอินก่อนนะคะ โดยเฉพาะหากต้องการไปเที่ยวเช้า (รถรับคนได้จำนวนจำกัด)

เรื่องเล่าระหว่างรีวิว ตอนนั่งรถของ K's house ได้มีโอกาสคุยกับหนุ่มมาเลเซียคนนึง เค้าถามถึงสถานการณ์การเมืองของประเทศไทย พวกเราก็ตอบเค้าไปว่ามันโอเคอยู่ ไม่ได้มีความรุนแรงอะไร ......2-3 วันหลังจากนั้น เกิดรัฐประหารเลยจ้าาาาา ออกข่าว TV ที่ญี่ปุ่นด้วย เป็นประสบการณ์แปลกๆ ดีที่ต้องมานั่งดูข่าวรัฐประหารประเทศตัวเองที่ต่างประเทศ

หลังจากรถมาส่งที่ Kawaguchiko station แล้ว เราก็จัดการเอากระเป๋าไปฝากไว้ที่ coin locker ของสถานี (อย่างที่บอกไปแล้วในบล็อกที่แล้ว จุดที่สามารถฝากกระเป๋าได้มี 2 จุดนะจ้ะ) แล้วไปซื้อตั๋วเพื่อไปที่งาน Fuji Shibazakura Festival กันค่ะ

ตั๋วของเราเป็นรถเที่ยวแรกที่จะออกเดินทางไปที่ Fuji Shibazakura Festival เลยค่ะ (ถ้าจำเวลาไม่ผิดคือประมาณ 9 โมง) แต่ตอนที่เราไปซื้อเป็นช่วงที่ใกล้จะถึงเวลารถออกแล้ว ทำให้ต้องยืนค่ะ ไม่มีที่นั่ง (ถ้าใครอยากนั่งหรือมีผู้สูงอายุไปด้วย แนะนำให้ไปเร็วหน่อยนะคะ เพราะเราไม่รู้เลยว่ารถจะติดแค่ไหน ต้องยืนอีกนานเท่าไหร่)

สำหรับคนที่จะไปโตเกียวหรือโอซาก้าโดยรถบัสอาจจะซื้อตั๋วรถบัสที่สถานีก่อนที่จะไปงานเลยก็ได้นะคะ ระหว่างรถติดอยู่นั้น เลยได้คุยกับหนุ่มมาเลย์คนเดิม เค้าบอกว่าเค้าจะไปโอซาก้าต่อและจองตั๋วรถเอาไว้แล้ว 
แต่อันนี้ แทนที่จะเป็นข้อดี อาจเป็นข้อเสียได้ค่ะ เพราะเค้าจองเที่ยวประมาณเที่ยงเอาไว้ ซึ่งพอปรากฏว่ารถติด กว่าจะถึงที่งานก็ 10 โมงนิดๆ แล้ว ต้องเผื่อเวลาขากลับอีก ทำให้มีเวลาอยู่ที่งานน้อยนิดค่ะ ต้องเร่งกัน เพราะฉะนั้น ต้องกะเวลาดีๆ

ส่วนเรากับเพื่อนผู้ซึ่งไม่มีการเตรียมการใดๆ ทั้งสิ้น กลับชิลสุดๆ เดินกันไปเรื่อย ถ่ายรูปกันไปเรื่อย

แต่
......
....
...
..

ฟูจิซังงงงงงงง ยูหายไปไหน
ไม่มาปรากฏกายให้เห็นเลย เศร้าสุดๆ T^T
เลยต้องถ่ายรูปฟูจิน้อยไปแทน


บริเวณงานค่อนข้างกว้างมากนะคะ ต้องใช้เวลาเดินสักหน่อย
แล้วถ้าเดินจนเหนื่อยแล้ว ในบริเวณงานยังมีจุดขายอาหารด้วย

จุดที่ขายอาหาร
เสียดายที่ตอนนั้นกำลังมึนๆ งงๆ กับการซื้ออาหารอยู่เลยไม่ได้ถ่ายรูปมาค่ะ
วิธีการซื้ออาหาร คือ มันจะมีตู้สำหรับกดสั่งอาหารอยู่ค่ะ เราต้องไปที่นี่ก่อน
กดสั่งอาหารที่เราต้องการซื้อและจำนวนเข้าไป แล้วก็ใส่เงินเข้าไป (วิธีใช้ไม่ยากค่ะ เชื่อมั่นว่าทุกคนทำได้) จากนั้นเครื่องจะให้บัตรสั่งอาหารกับเรามา (แน่นอนว่ามีแต่ภาษาญี่ปุ่น ดูรูปเอาค่ะ)

เราต้องเอาบัตรนี้ไปยื่นที่ร้านที่ขายอาหารค่ะ ซึ่งแต่ละร้านจะแยกกัน 
ปัญหามันเกิดตรงนี้แหละ 
เนื่องจากบัตรที่ได้มา มันมีแต่ภาษาญี่ปุ่น ทำให้เรางงค่ะ ว่าเราต้องยื่นใบไหนให้กับร้านไหน ดังนั้น สิ่งที่เราทำคือยื่นทุกใบให้คนรับออเดอร์ดู ให้เค้าหยิบเอาเองว่าอันไหนเป็นเมนูที่ร้านเค้าทำ 5555+

เมนูแนะนำ : Soft serve ice-cream ซากุระ

ขากลับ เรากับเพื่อนก็นั่งรถกันกลับ Kawaguchiko station กันอย่างปกติสุข 
ทุกอย่างดูโอเค 

พอถึงสถานี เราก็จัดการไปซื้อตั๋วรถบัสเพื่อไปโตเกียว
ระหว่างนั้นเอง เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น !!!!!!!!

เพื่อนเราค้นพบว่ากระเป๋าตังค์นางหายค่ะ !!!!!

คราวนี้ล่ะเรื่องใหญ่เลย เข้าใจว่าน่าจะหายตั้งแต่ตอนอยู่บริเวณงานแล้วค่ะ ต้องติดต่อที่โน่นที่นี่เยอะแยะไปหมด ทั้ง Information, Tourist Information และแจ้งไปที่บริเวณงานเพื่อให้เค้าช่วยหาให้ (บริเวณงานก็กว้างใหญ่เหลือเกิน ..จะเจอได้ยังไง)
ถามเพื่อนเรา เพื่อนค่อนข้างมั่นใจว่าไม่ได้ทำตกเอง แต่ถูกล้วงกระเป๋า (อันนี้มีปัจจัยเยอะที่ทำให้คิดได้แบบนี้ แต่ขอข้ามไป)
เงินในกระเป๋ามีค่อนข้างมากด้วยค่ะ รวมเงินเยนและเงินบาทเป็นเงินเกือบ 20,000 บาท (ไม่นับมูลค่ากระเป๋าตังค์) .....อันนี้ เป็นความซวยอีกข้อหนึ่งค่ะ ปกติ เรากับเพื่อนจะแยกเงินเก็บไว้หลายที่ พอเงินในกระเป๋าใกล้จะหมดถึงหยิบเงินสำรองมาใส่กระเป๋าเพิ่ม ซึ่งตอนเช้าวันนี้เองที่เพื่อนเราเพิ่งหยิบเงินมาใส่กระเป๋าเพิ่ม

พอเกิดเรื่องขึ้น เราเลยต้องจัดการไปเลื่อนตั๋วรถบัสที่เพิ่งซื้อมาค่ะ ซึ่งทางพนักงานก็ให้เลื่อนได้ไม่มีปัญหา ตอนแรกเรากะเลื่อนตั๋วเป็น 5-6 โมงเย็น แต่ปรากฏว่าทางพนักงานแจ้งว่ารถเที่ยวเย็นถูกจองไว้ล่วงหน้าหมดแล้วค่ะ เที่ยวสุดท้ายที่ยังว่างอยู่คือบ่าย 3 โมง 
(ดังนั้น ใครไป Kawaguchiko ช่วงมีงานนี้ ขากลับแนะนำให้จองตั๋วล่วงหน้านะคะ มันเต็มง่ายมากเลย)

หลังจากแจ้งทุกคนที่น่าจะแจ้งได้ในบริเวณ Kawaguchiko station แล้วก็พบว่าเค้าคงช่วยอะไรไม่ได้มากกว่านี้ค่ะ แม้แต่จะช่วยประสานกับที่บริเวณงาน Fuji Shibazakura Festival ยังช่วยไม่ได้เลย ให้เพื่อนเราไปติดต่อเอง 
(ตอนแรกที่ Tourist Information มีเจ้าหน้าที่คนนึงพยายามจะช่วยติดต่อให้ค่ะ ดีมากๆๆเลย แต่เจ้าหน้าที่อีกคนเดินมาตัดบท เหมือนว่าไม่ใช่หน้าที่ที่เค้าจะช่วยอ่ะค่ะ แล้วบอกให้เพื่อนเราไปติดต่อเอง ....อารมณ์นั้นคือรู้สึกว่านางใจร้ายมากๆ เงิบสุดๆ)

ระหว่างกำลังวุ่นๆ อยู่นั้นเอง เพื่อนเราไลน์คุยกับเพื่อนที่เป็นคนญี่ปุ่นค่ะ เค้าแนะนำให้ไปแจ้งความที่สถานีตำรวจเลย

เรากับเพื่อนเลยจัดการหาวิธีไปสถานีตำรวจกันโดยด่วน

ปรากฏว่าพอไปถึงสถานีตำรวจ คุณตำรวจที่อยู่ที่สถานีทั้งสองคนพูดอังกฤษไม่ได้เลย T^T รัวญี่ปุ่นใส่เราอยู่ตลอดเวลา
แต่คุณตำรวจน่ารักมากๆ ค่ะ ต่อสายให้เพื่อนเราคุยกับใครสักคน เข้าใจว่าน่าจะเป็นตำรวจท่องเที่ยว หรือคนของกรมตำรวจกลาง อะไรประมาณนี้

คุยกันนานมากกกกกกกกก
เพราะคุณตำรวจทางโทรศัพท์ถามละเอียดมากๆๆๆ 
กระเป๋าเงินลักษณะยังไง มีเงินเท่าไหร่ สกุลอะไรบ้าง บัตรที่มีอยู่ในกระเป๋าเป็นบัตรอะไรบ้าง จำเลขที่บัตรได้มั้ย ขนาดพวกบัตรของธนาคารยังถามเลยว่าธนาคารอะไร เป็นบัตรประเภทไหน passport ยังอยู่มั้ย (ดีที่ passport ไม่หายไปด้วย ไม่งั้นวุ่นกว่านี้อีก) มาญี่ปุ่นกับใคร จะกลับเมืองไทยเมื่อไหร่ มีที่พักแล้วหรือยัง ขอที่อยู่ของโรงแรมที่เราจะไปพักในวันต่อไป บลาๆๆๆ
หรือแม้แต่ถามว่า คุณจะใช้ชีวิตอยู่ต่อไปในญี่ปุ่นได้มั้ย  ....ซึ่งแน่นอนว่าเพื่อนเราตอบว่าได้ เพราะมีเราอยู่อีกคน 
แต่เราก็แอบสงสัยมากว่า ถ้าตอบว่าไม่ได้ แล้วทางคุณตำรวจจะทำยังไง

หลังจากนั้น คุณตำรวจก็แจ้งเลขที่เคสให้เพื่อนเรา พร้อมเบอร์โทรติดต่อ เพื่อเอาไว้ตามสอบถามได้ว่าเคสไปถึงไหนแล้ว 

โอ้ มายก็อดดดดดดด

อยากให้เมืองไทยมีแบบนี้บ้างจัง

ส่วนคุณตำรวจสองคนที่สถานีก็น่ารักมากค่ะ ถึงจะพูดอังกฤษไม่ได้ แต่ก็พยายามสื่อสารกับเรา 
แถมตอนจะกลับ อุตส่าห์เดินออกไปส่งจนถึงป้ายรถบัสเลยทีเดียว
(ระหว่างที่อยู่ที่สถานีตำรวจที่นี่ มีคนจอดรถมาถามทางคุณตำรวจเยอะมาก ...เป็นที่พึ่งของประชาชนทุกเรื่องจริงๆ)

อันนี้ เพิ่งมาเห็นตอนหลังค่ะ อยู่บนโต๊ะคุณตำรวจ 


เรื่องความโชคร้ายในวันนี้ มันเหมือนจะจบใช่มั้ยคะ

แต่มันยังไม่จบค่ะ

ขอตัดฉับ มาที่สถานี Shinjuku ที่โตเกียวเลย

แน่นอนว่าถ้าใครเคยไปที่นี่ จะรู้เลยว่าสถานี Shinjuku เป็นสถานีที่ใหญ่มากกกกกกกกก
สายรถไฟอะไรไม่รู้พันกันมั่วไปหมด คนก็เยอะแยะมากมายมหาศาล

ลองคิดภาพผู้หญิงไทยสองคนพร้อมกระเป๋าใหญ่เท่าบ้านคนละใบยืนเอ๋อกันอยู่ในสถานีในเวลาเลิกงานของญี่ปุ่น พร้อมกับความอ่อนเพลียกับเรื่องที่เจอมาทั้งวัน

กว่าเรากับเพื่อนจะหาทางที่จะเข้าสายรถไฟที่ถูกต้องได้ก็เดินลากกระเป๋ากันจนเหนื่อย

และภารกิจต่อไปของเรา คือ การซื้อบัตร Suica

ระหว่างที่เรากำลังยืนด้อมๆมองๆ อยู่หน้าตู้ขายตั๋วนั่นเอง ก็มีชายคนหนึ่ง แต่ตัวปอนๆ เหมือนเป็น Homeless เข้ามาหาเพื่อนเรา

ตอนนั้นเรามีภาพรายการ "หนังพาไป" ขึ้นมาในหัวเลย (ใครเคยดูคงจำได้ว่าพี่บอลกับพี่ยอดเคยโดยคนที่มาช่วยซื้อตั๋วยึดเงินทอนไปแบบงงๆ)
เราคิดในใจว่า ชัวร์เลย โดนแล้ว 
แต่เพื่อนเรานางกำลังเอ๋ออยู่ค่ะ พอเห็นคนทำท่าจะช่วย นางก็โอเค ปล่อยให้เค้าช่วยไป ซึ่งเค้าก็ช่วยจริงๆ ค่ะ 
และพอช่วยซื้อเสร็จเท่านั้นล่ะ เค้าก็พยายามขอเงินเพื่อนเรา
(เราซื้อบัตร Suica และเติมเงินเต็มจำนวนพอดี ไม่มีเงินทอนใดๆ)

ลองนึกภาพตาม
ผู้หญิงคนหนึ่งจากบ้านจากเมืองมาสู่เมืองท่องเที่ยวที่รับประกันความปลอดภัยมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ได้สูญเสียเงินไปเกือบ 20,000 บาท ณ สถานที่ที่ทุกคนบอกว่า "ของหายได้คืน" และในวันเดียวกันนั้นเอง หญิงผู้นั้นได้ถูกชายผู้หนึ่งขอเงินค่าที่ให้ความช่วยเหลือเธอในการซื้อตั๋วรถไฟ

ถามว่า คิดว่านางจะให้มั้ยคะ

แน่นอนค่ะ ว่า ไม่ !!!

นางตีมึนและพยายามบอกกับชายผู้นั้นว่า นางก็เพิ่งกระเป๋าเงินหายมาเหมือนกัน (นะโว้ยยยย) 

กว่าจะถึงโรงแรมแน่นอนว่าค่ำแล้ว (วันนี้ เราจะพักกันที่ Toyoko inn Tokyo Akiba Asakusabashi-eki Higashi-guchi)

แต่ความดราม่าของเรากับเพื่อนก็ยังไม่จบลง

หลายคนคงเริ่ม ห๊า ว่ายังไม่จบอีกเหรอ

อย่างที่บอกไปว่า เรากับเพื่อนมาทริปนี้แบบกะทันหันมากๆ จองโรงแรมยังไม่ครบวันเลย ซึ่งวันนี้แหละค่ะเป็นวันสุดท้ายที่เราจองโรงแรมไว้
วันต่อๆ ไป โรงแรมไม่ว่างเลยค่ะ ต้องหาโรงแรมกันคืนนี้นี่แหละ ซึ่งหายากหาเย็นมากที่จะมีวันว่างต่อกัน 4 วัน ราคารับได้ไม่เกินงบ และอยู่ในย่านที่โอเค ปลอดภัย

แต่ในที่สุด ก็หาได้ค่ะ ใช้เวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมงในการหา แถมยังไลน์ลากให้เพื่อนที่เมืองไทยช่วยกันหาอีกต่างหาก

จบวันนี้ด้วยความดราม่าสุดๆ

จะมีสักกี่คนที่ไปญี่ปุ่น ไม่เห็นฟูจิซัง ของหายแล้วไม่ได้คืน ต้องขึ้นโรงพัก มีเลขคดีเป็นของตัวเอง ถูก homeless ขอเงินค่าช่วยเหลือในการกดบัตร suica แถมดราม่าเรื่องที่พัก ในวันเดียวกัน

เชื่อเถอะค่ะ ว่ามีแค่อิสองนางนี้เท่านั้นแหละ ....โดยเฉพาะ เพื่อนเรา เรื่องนี้นางน่าสงสารที่สุดในสามโลก