30 มกราคม 2558

mini Review: Nihonbashi Villa Tokyo

Nihonbashi Villa Tokyo

website >> http://www.hotelvilla.jp/e/guide.html




ตามที่ได้บอกไปแล้วในบล็อกก่อนๆ เราไปญี่ปุ่นทริปนี้แบบกะทันหัน จองโรงแรมไม่ได้ครบทุกวันที่พัก
ที่นี่เป็นโรงแรมที่เราจองตอนอยู่ที่ญี่ปุ่นแล้ว แบบว่าจองวันนี้ พรุ่งนี้เข้าพักเลย

ที่เราเลือกที่นี่มีเหตุผลอยู่ 3-4 ข้อ คือ ราคาอยู่ในงบ โรงแรมตั้งอยู่ไม่ไกลจาก Toyoko inn Tokyo Akiba Asakusabashi-eki Higashi-guchi โรงแรมเดิมที่เราพัก ทำให้เดินไปได้ ไม่ต้องแบกกระเป๋าเดินทางใบใหญ่เข้าที่สถานีรถไฟอีก แล้วก็ดูจากรูปและรีวิวในเว็บ booking.com กับ agoda แล้วพบว่าอยู่ในเกณฑ์ดี


Note สิ่งที่โง่มากคือเราเพิ่งมาพบที่หลังว่าโรงแรมอยู่ใกล้สถานี JR Bakurocho มากกว่า Asakusabashi แต่เรากับเพื่อนเดินไปขึ้นรถไฟที่สถานี Asakusabashi กันทุกวันเลย (- -")

โรงแรม Nihonbashi villa สภาพค่อนข้างใหม่ ทั้งสภาพภายนอก Lobby และในห้องพัก
ห้องพักจะกว้างกว่าที่ Toyoko inn ค่ะ ห้องที่เราได้เป็นห้องมุมพอดี 
กระจกบานใหญ่สะใจมากกกก เหมาะแก่การแต่งหน้าอย่างยิ่ง 5555+
ชุดนอนจะวางไว้ให้ในห้องเลย ไม่ต้องเดินไปหยิบเองแบบที่ Toyoko inn นะคะ ;-)

ตอนที่จอง เราจองผ่านมือถือและหาไม่เจอว่ามีให้เลือก smoking room หรือ non-smoking room ตรงไหน แต่เราเขียน require ไปว่าขอ non-smoking room ซึ่งก็ได้ห้องที่ไม่มีกลิ่นบุหรี่เลย




28 มกราคม 2558

mini Review: K's house Mt. Fuji

K's House Mt. Fuji 
website >> http://www.kshouse.jp/fuji-e/facilities/index.html

K's House เป็น Hostel เครือดังเครือนึงในญี่ปุ่นเลย เป็นที่นิยมทั้งของคนไทยและต่างชาติมาก
มีสาขาอยู่หลายแห่งทั่วประเทศญี่ปุ่น
สำหรับสาขาที่จะพูดถึงนี้ คือ สาขาที่ Kawaguchiko หรือที่ใช้ชื่อว่า K's House Mt. Fuji 

K's House Mt. Fuji ตั้งอยู่ค่อนข้างไกลจาก Kawaguchiko station 
ดังนั้น การเดินทางที่แนะนำเพื่อเข้ามาที่นี่ คือ รถบัส
แต่ถ้าถามว่าเดินได้มั้ย? 
ตอบเลยว่า สามารถเดินได้แบบเหนื่อยๆค่ะ (เราเดินไป-กลับมาแล้ว เดินดูเมืองไปเรื่อยๆแบบชิลๆ)

หรืออีกทางหนึ่ง คือ ที่ K's House มีบริการรถรับ - ส่ง ไปที่ Kawaguchiko station (free pick up service) ทุกวัน ระหว่างเวลา 8.00 - 19.30 น.
โดยขาจาก Kawaguchiko station - K's House จะต้องมีการนัดล่วงหน้าให้เค้ามารับ
ส่วนขาจาก K's House - Kawaguchiko station จะต้องไปลงชื่อที่เค้าเตอร์ด้วย เพราะรถรับคนได้จำกัดค่ะ

เราสอบถามจากพนักงานได้ความว่า บริการนี้ คือ ให้แค่ 2 ครั้งต่อแขก 1 คนเท่านั้น (คือ ขาไปกับขากลับ) ไม่ใช่ว่าจะออกจากโรงแรมไป  Kawaguchiko station ทุกครั้งก็ใช้บริการรถนี้ได้
แต่คิดว่าถ้าช่วงไหนรถว่าง คนไม่เยอะ เค้าก็คงไม่ได้สติ๊กอะไรมากนะคะ 



แม้ว่าที่ตั้งจะไกลจาก Kawaguchiko station พอสมควร 
แต่ข้อดีคือ ใกล้ทะเลสาบมากค่ะ สามารถเดินไปได้ แถมยังราคาย่อมเยาว์ เหมาะกับคนงบน้อย (อย่างเรา)

ในเรื่องของการฝากกระเป๋า ถ้าเรามาก่อนเวลา check-in สามารถฝากกระเป๋าไว้ก่อนได้ โดยเค้าจะมีห้องเก็บสัมภาระห้องนึงแยกต่างหากเลย ซึ่งเรามองว่าดีนะคะ ดูปลอดภัยดี

ห้องที่เราพักเป็นห้องแบบ Japanese private ensuite room (มีห้องน้ำในตัว) สำหรับ 2 คน
เข้าไปตอนแรกจะเป็นห้องแบบญี่ปุ่นทั่วไป
ฟูกและที่นอนจะอยู่ในตู้ตรงทางเข้า พอจะนอนก็เอามาปู
อันนี้เป็นรูปก่อนและหลังปูที่นอนแล้ว


ส่วนห้องน้ำที่อยู่ในห้องพัก สภาพโอเค ขนาดก็เล็กแบบโรงแรม 2-3 ดาวในญี่ปุ่นทั่วไปค่ะ


เราแอบไปดูห้องน้ำที่เป็น shared bathroom มาด้วย สะอาดมากๆเลยค่ะ (ไม่ได้ถ่ายรูปมา)

สิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆใน K's House ก็ครบครันมาก
ส่วนกลาง มีทั้งครัว สามารถทำอาหารได้ มีไมโครเวฟสำหรับอุ่นอาหาร กระติกน้ำร้อน 
ห้องนั่งเล่นมีทั้งแบบโต๊ะธรรดาแล้วก็นั่งพื้นแบบญี่ปุ่น พอหัวค่ำเหล่าบรรดา backpacker ทั้งหลายจะมานั่งรวมกันอยู่ นั่งคุยเล่นกันอยู่ตรงนี้แหละ

จักรยานก็มีให้เช่า เราจำราคาต่อชั่วโมงไม่ได้ แต่ถ้าใช้หลายชั่วโมงก็เหมาเป็นวันไปเลยได้ ไม่แพงค่ะ

พนักงานยิ้มแย้ม อัธยาศัยดี

แต่ข้อเสียอีกอย่างที่เรานึกได้คือ ที่นี่ไม่มีลิฟท์ 
ดังนั้น ถ้าห้องอยู่ชั้นบนๆ แล้วเอากระเป๋าใบใหญ่ไปล่ะก้อ..... แบกเหนื่อยเลยค่ะ 

สรุปโดยรวม เราค่อนข้างชอบเลย ข้อดีมีเยอะ เทียบกับราคาแล้วถือว่าโอเคมากๆ 

p.s. 
การเดินทางมาที่ Kawaguchiko ของเราไม่ได้วางแผนล่วงหน้าไว้ก่อน เนื่องจากไม่แน่ใจว่าจะสามารถซื้อตั๋วรถบัสจากเกียวโตมาที่ Kawaguchiko ได้หรือไม่ ก็เลยไม่ได้จองที่พักไว้ล่วงหน้า
มาหาที่พักกันวันก่อนเข้าพัก 1 วัน ซึ่งตอนดูในเว็บ มันขึ้นว่า Full แต่พอ message Facebook ไปถามก็พบว่ายังมีห้องว่างอยู่ค่ะ 
เพราะฉะนั้น ถึงเว็บขึ้นว่าเต็มแล้ว แต่ลองถามโดยตรงอีกทีก็ดีนะคะ

26 มกราคม 2558

Day 8-11: Tokyo (2) - Kawasaki

Day 1: Osaka กุหลาบงามกลางเดือนพฤษภาคม
Day 2: Osaka Amazing Pass
Day 3-4: Kyoto Aoi Matsuri
Day 5: Nara and Night bus to Kawaguchiko
Day 6: Kawaguchiko มาปั่นจักรยานกันเถอะ
Day 7: Fuji Shibazakura Festival
Day 8-11: Tokyo (1)
Day 8-11: Tokyo (2) - Kawasaki

∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇

บล็อกนี้จะเป็นบล็อกสุดท้ายสำหรับทริป Japan 2014 ของเราแล้วนะคะ 
การไปเมือง Kawasaki เป็นการเที่ยวใน Day 9 ของเรา แต่เนื่องจาก Day 8, 10 และ 11 เราไปรวมไว้ในบล็อกก่อนหน้านี้หมดแล้ว บล็อกนี้เลยกลายมาเป็นบล็อกสุดท้ายแบบงงๆ

วันนี้เราจะออกนอกเมืองโตเกียวกัน 
เป้าหมายของเราอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ Fujiko F. Fujio หรือพิพิธภัณฑ์โดราเอมอน ที่เมือง Kawasaki

Fujiko F. Fujio Museum




website >> http://fujiko-museum.com/english/

สำหรับการซื้อบัตรเข้าชมพิพิธภัณฑ์ Fujiko F. Fujio หรือพิพิธภัณฑ์โดราเอมอนนี้ สามารถซื้อได้ที่ร้าน Lawson จากตู้ Loppi

ตอนซื้อเราจะต้องระบุวันและรอบเวลาที่เราจะเข้าชมด้วย 
โดยเราสามารถตรวจสอบวันที่พิพิธภัณฑ์ปิดทำการได้จาก http://fujiko-museum.com/english/calendar/
ปกติจะหยุดทุกวันอังคาร แต่ถ้าวันอังคารเป็นวันหยุดราชการอยู่แล้วก็จะหยุดในวันถัดไปค่ะ
ในแต่ละวันจะมีรอบเวลา 4 รอบ คือ 10.00 12.00 14.00 และ 16.00 น.
ราคาตั๋วสำหรับผู้ใหญ่ คือ คนละ 1000 เยน

ตัวตู้ Loppi จะมีแต่ภาษาญี่ปุ่นนะคะ ถ้าใครสกิลภาษาญี่ปุ่นเป็นศูนย์แบบเรา ลองถามพนักงานดูนะคะ ให้เค้าช่วยจองให้ได้ หรือถ้าใครอยากซื้อบัตรตั้งแต่ก่อนไป เราเห็นในอินเตอร์เน็ตมีคนรับจองให้อยู่เหมือนกันค่ะ 
ตอนเราไป หน้าเว็บไม่มีสอนวิธีกดตู้เป็นภาษาอังกฤษเลย แต่ล่าสุดตอนนั่งเขียนบล็อคนี้เราลองเข้าไปดูในเว็บอีกที พบว่ามีอยู่นะคะ แต่ไม่แน่ใจว่าละเอียดพอที่เราจะสามารถกดตู้ได้เองหรือไม่ ลองดูค่ะ >> http://l-tike.com/fujiko-m/english/

การเดินทาง
สามารถไปได้หลายทาง




สำหรับเรา เราเลือกนั่งไปรถไฟไปลงที่ Noborito station แล้วนั่ง shuttle bus ต่อไปยังตัวพิพิธภัณฑ์ค่ะ เราจำค่ารถไม่ได้ เนื่องจากใช้บัตร suica แตะเพื่อจ่ายเงิน
Shuttle bus จะเป็นลายการ์ตูน มีหลายลายเลย ถ้าโชคดีอาจจะได้เจอคันที่เป็นลายโดราเอมอนเลย

วันที่เราไป อากาศค่อนข้างแย่มาก ฝนตกตลอดเวลา หนักๆเบาๆ สลับๆกัน ทำให้อากาศหนาวมากกก ตอนไปยืนรอ shuttle bus นี่หนาวจนสั่นเลย

ในส่วนของตัวพิพิธภัณฑ์ จะมีทั้งส่วนที่ถ่ายรูปได้และถ่ายรูปไม่ได้
พิพิธภัณฑ์นี้จะเป็นการรวบรวมผลงานของอาจารย์ Hiroshi Fujimoto ผู้วาดการ์ตูนเรื่องโดราเอมอนที่ทุกคนรู้จักนั่นเอง
แต่ขออนุญาตไม่สปอยนะคะว่ามีอะไรบ้าง ลองไปดูเองดีกว่าเนอะ เดี๋ยวไม่ตื่นเต้ลลล ^-^




ที่เห็นในรูปว่าไม่มีคน ไม่ใช่อะไรค่ะ ฝนตกอยู่ แต่ฝนเป็นละอองเส้นเล็กมากๆ เวลาถ่ายรูปออกมาเลยมองไม่ค่อยเห็น

ภายในพิพิธภัณฑ์ นอกจากจะมีการแสดงผลงานของอาจารย์ Fujimoto แล้ว ยังมีส่วนที่เป็นคาเฟ่และร้านขายของที่ระลึกด้วย

จริงๆ มีของที่อยากได้เยอะเลย แต่สุดท้ายยอมตัดใจ เพราะรู้ว่าถึงซื้อกลับมา มันก็จะต้องไม่แคล้วโดนฝุ่นเกาะอยู่ในตู้โดยที่ไม่มีใครไยดีแน่ๆ เลยซื้อมาแค่โปสการ์ดแผ่นเดียว กับไปเล่นกาชาปองเป็นของฝากให้เพื่อนๆ ที่เมืองไทย
เราเล่น 3 ครั้ง กว่าจะได้ตัวโดราเอมอน แถมครั้งที่ได้ เพื่อนเป็นคนเล่นให้อีกต่างหาก
ส่วนเพื่อนเรา นางเล่น 2 ครั้ง ได้โดราเอมอน 2 ตัวเลย (นางมีดวงด้านนี้จริงๆ)


ออกจากพิพิธภัณฑ์โดราเอมอน เรากับเพื่อนก็นั่ง Shuttle bus กลับไปที่ Noborito station (จริงๆ แล้ว อยากเดินอยู่นะคะ แต่ฝนยังตกอยู่ เลยนั่งรถดีกว่า)

วันนี้ เราไม่มีแพลนอะไรกันแล้ว แต่ยังเหลือเวลาอีกตั้งครึ่งวันแน่ะ
ระหว่างอยู่ที่สถานี Noborito station เพื่อตัดสินใจว่าจะไปไหนต่อดีกันนั่นเอง เพื่อนเราก็เข้าไปในเว็บ Tripadvisor ลอง search สถานที่ท่องเที่ยวที่อยู่ในบริเวณนั้นดู ก็เลยไปค้นพบสถานที่แห่งหนึ่ง 
รีวิวใน Tripadvisor ส่วนใหญ่เห็นมีแต่ฝรั่งไป แล้วรีวิวออกมาค่อนข้างดีเลย คนชอบกันเยอะ สุดท้ายเรากับเพื่อนก็เลยตัดสินใจจะไปกัน

Nihon Minka-en หรือ Japan open-air folk house museum

ระหว่างที่อยู่ใน Noborito station นี้ ฝนเริ่มซา ดูจากระยะทางแล้ว คิดว่าน่าจะพอเดินได้ เรากับเพื่อนเลยตัดสินใจเดินกันค่ะ 
จากสถานีใช้เวลาเดินประมาณ 30 นาที
(จริงๆ ถ้าเดินไปจาก Fujiko F. Fujio museaum จะใกล้กว่าเดินไปจาก Noborito station อีก เหอะๆ ค้นพบช้าไปหน่อยนึง)


ระหว่างทางเดินไปก็จะเจอป้ายที่พื้นแบบนี้ แสดงว่ามาถูกทางแย้วววว

ส่วนการเดินทางจริงๆ แบบสามารถเตรียมตัวมาก่อนได้ มีหลายวิธีลองเลือกกันได้ตามสะดวก



ที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์หมู่บ้านญี่ปุ่นโบราณ โดยเค้าจะจำลองบ้านญี่ปุ่นจากภูมิภาคต่างๆ รวมกันไว้ เนื้อที่ค่อนข้างเยอะเลยค่ะ เรากับเพื่อนเดินไม่ทั่ว เพราะกว่าจะไปถึงก็ 4 โมงนิดๆแล้ว และที่นี่ปิดเวลาประมาณ 5 โมง

วันที่เราไป เงียบมากกกกกกกกกกกก (ก. ไก่ล้านตัว)
มีเรา เพื่อน คุณลุง รปภ. และคุณลุงคุณป้าชาวญี่ปุ่นอีก 1 คู่ นอกนั้นไม่มีใครเลย ท่ามกลางพื้นที่อันกว้างขวาง
แถมพอเดินๆ ไปก็เหลือเรากับเพื่อนกันสองคน บรรยากาศวังเวงเล็กๆ (เพราะเริ่มเย็นแล้ว) สถานที่นี้เป็นของเราสองคนจริงๆค่ะ 





ภายในตัวบ้านบางหลังจะมีการจัดพวกของใช้ เตา อะไรแบบนี้ไว้ด้วยค่ะ 
ได้บรรยากาศมาก เราชอบที่นี่มากกว่า Museum of Housing and living ที่โอซาก้ามากๆ อันนั้นดูเฟคๆ อันนี้ดูจริงกว่ากันเยอะะะ คุ้มค่าเข้าชม 500 เยนมากๆ
ไม่รู้จะบรรยายยังไงจริงๆ เป็นการมาที่นี่แบบฟลุ๊คๆ แล้วประทับใจ 555+

ใครที่มาเมืองนี้เพื่อชมพิพิธภัณฑ์โดราเอมอนอยู่แล้ว และมีเวลาเหลือ แนะนำให้มาที่นี่ด้วยค่ะ อย่าได้พลาด

ติดกันจะมีพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์อยู่ด้วย แต่แน่นอนว่ากว่าเราจะเดินออกจาก Nihon Minka-en มันก็ปิดแล้ว ถ้าใครมีเด็กๆ มาด้วยอาจจะลองเข้าไปดูได้ค่ะ

เราขอปิดทริป Japan 2014 ของเราตรงนี้เลยแล้วกันนะคะ 



เจอกันอีกทีทริปหน้า Japan 2015 คราวนี้เราจะไปตามหาซากุระตอนเดือนเมษากัน
โดยครั้งหน้า เราจะไปซ้ำที่ Kansai อีกรอบนึง เป็นเวลา 7 วันเต็ม และแน่นอนว่ารอบหน้าจะต้องไป Himeji castle ที่กำลังจะรีโนเวทเสร็จสมบูรณ์ในปลายเดือนมีนาคม 2015 และ Universal Studio Japan ที่ตอนนี้เปิดโซน Harry Potter อย่างสมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว

p.s. เราหลงรักเกียวโตมากๆ ชอบคันไซมากกว่าคันโต ถ้ายกภูเขาไฟฟูจิมาไว้ที่นี่ได้อีกอย่างจะ perfect มากเลย <3 

19 มกราคม 2558

Day 8-11: Tokyo (1)

Day 1: Osaka กุหลาบงามกลางเดือนพฤษภาคม
Day 2: Osaka Amazing Pass
Day 3-4: Kyoto Aoi Matsuri
Day 5: Nara and Night bus to Kawaguchiko
Day 6: Kawaguchiko มาปั่นจักรยานกันเถอะ
Day 7: Fuji Shibazakura Festival
Day 8-11: Tokyo (1)
Day 8-11: Tokyo (2) - Kawasaki

∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇

วันที่ 8, 10 และ 11 เราเที่ยวในโตเกียวล้วนๆ เลยค่ะ แล้วเที่ยวไม่เยอะมากค่ะ หมดเวลาไปกับการช็อปปิ้งและนอนตื่นสาย อีกทั้งเราแทบไม่ได้หาข้อมูลไปก่อนเลย เรียกว่าแทบไม่มีข้อมูลอะไรจะให้เลยค่ะ เลยขอรวบไว้ในบล็อกเดียว

แต่ขอแนะนำหนังสือท่องเที่ยว 1 เล่ม เพื่อนเรายืมมาจากห้องสมุดค่ะ
มันดีเลยล่ะ ใครตั้งใจเที่ยวในโตเกียว + รอบๆ แนะนำเล่มนี้เลยค่ะ 
เราก็ดูจากเล่มนี้แหละ หรือถ้าพูดให้ถูกคือเล่มนี้ช่วยชีวิตเราไว้เลยค่ะ :D



ส่วนวันที่ 9 เราจะออกไปนอกเมืองกัน ขอแยกไว้อีกบล็อกนึง
= -- = -- = -- = -- = -- =

หลังจากความดราม่าในชีวิตผ่านพ้นไป 
สิ่งแรกที่ต้องทำ คือ การเข้าวัดทำบุญ ^-^

และแน่นอนว่า ถ้าพูดถึงวัดในโตเกียว ทุกคนต้องคิดถึง "วัด Sensoji" หรือที่คนทุกคุ้นเคยกันในชื่อ "วัด Asakusa"

วัด Sensoji





วัดเซ็นโซจิ (Sensoji) เป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโตเกียว มีสัญลักษณ์สำคัญคือ โคมไฟสีแดงขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านหน้าทางเข้าวัด วัดนี้ตั้งอยู่ในย่าน Asakusa ทำให้บางคนก็เรียกว่าวัด Asakusa

พอเดินผ่านโคมไฟสีแดงเข้าไปแล้ว เราจะเจอกับถนน Nakamise ซึ่งเป็นถนนที่เต็มไปด้วยร้านค้า ขายของฝาก ขนม ของที่ระลึก บลาๆๆๆ เรียกได้ว่าคอยดึงคนตั้งแต่ยังไม่เข้าถึงวัดเลยก็ได้ 
ตอนไปญี่ปุ่นครั้งแรก เมื่อสิบกว่าปีก่อน เราไปกับทัวร์ ไกด์ต้องคอยย้ำว่าให้ไปไหว้พระที่วัดก่อน แล้วค่อยมาช็อปปิ้งตอนขากลับ ...ไม่อย่างนั้นคนคงหยุดกันอยู่ตรงนี้แหละ ไม่ถึงตัววัดสักที
แต่รอบนี้ เรากับเพื่อนมุ่งมั่นเรื่องการไปวัดมาก ไม่ได้แวะร้านไหนเลยค่ะ ตรงดิ่งไปที่ตัววัดเลยค่ะ




ก่อนถึงตัววัด ก็เช่นเดียวกับวัดที่ญี่ปุ่นวัดอื่นๆ คือจะมีน้ำให้เราตักล้างมือ ชำระล้างร่างกายให้สะอาด (ล้างมือพอนะคะ บางคนอาจจะบ้วนปากด้วย แต่ไม่มีใครถึงขั้นอาบน้ำหรอกนะ 5555+) 
หลังจากล้างมือเสร็จ ก็ไปซื้อธูปเพื่อไหว้พระทำบุญค่ะ 
พอปักธูปแล้ว เป็นธรรมเนียมเลยว่า เราจะต้องโบกธูปเข้าหาตัว เป็นเหมือนการนำสิ่งดีๆเข้ามาให้ตัวเองค่ะ (แสบตามาก ยังกะอยู่ในวัดเล่งเน่ยยี่เลยทีเดียว)

ขั้นตอนการไหว้พระขอพรยังมีอยู่อีกนิดหน่อย แต่บอกตามตรงว่าจำไม่ได้แล้ว T^T (จะมีการไหว้ ตบมือ โยนเหรียญ สั่นกระดิ่ง ขอพร แต่มันจะมีขั้นตอนอยู่ค่ะ ...เอาเป็นว่ามองหาคนญี่ปุ่นแล้วทำตามล่ะกันนะ)
ที่นี่เราได้ไปเสี่ยงเซียมซีด้วย มีภาษาอังกฤษด้วยค่ะ ไม่ต้องห่วง
ส่วนเรื่องเครื่องรางบอกเลยว่าราคาสูงกว่าที่เกียวโตพอสมควรเลย  

บริเวณรอบๆวัด จริงๆ มีจุดที่น่าสนใจหลายจุดนะคะ ถ้ามีเวลาอยากให้ลองเดินไปเรื่อยๆ


Imperial Palace




จุดมุ่งหมายของเรา คือ สะพานแว่นตา แต่งงกับประตูมากมาย เดินไปเดินมาเจอแต่พิพิธภัณฑ์กับดอกหญ้า จนในที่สุดถึงได้รู้ว่ามาผิดทาง...
แต่ไม่เป็นไรค่ะ สนุกดี แต่เห็นอีกบรรยากาศหนึ่ง ที่สำคัญคนน้อยมากๆ สถานที่เป็นของเรา 555+




จากที่นี่ เดินข้ามไปสวนสาธารณะค่ะ จะมีคุณซามูไรอยู่ 
(มีประวัติอยู่ในหนังสือที่แนะนำไปข้างบนค่ะ ...เราจำไม่ได้แล้ว)



ตลาดปลา Tsukiji

หลงตามเคยค่ะ เดินเลยตลาดไปเฉยเลย กว่าจะรู้ตัวแล้วเดินกลับมาก็เริ่มสายแล้ว ดูประมูลปลาไม่ทัน T^T

ไม่เป็นไรค่ะ ไปทานซูชิกันดีฟ่าาาาา
แถวยาวได้ใจ แต่ไม่เป็นไร เราไม่หิว เรารอได้
ร้านนี้ ไม่น่าใจว่าชื่อร้านอะไร แต่มันจะมีอยู่สองร้านที่คนต่อแถวยาวๆ เราก็เลือกเอาร้านนึงคือร้านนี้ (เหตุผลเพราะเราเดินมาร้านนี้ก่อน)





เชฟแนะนำให้ทานเป็นเซ็ทค่ะ ...จริงๆ เราไม่อยากทานเซ็ท เพราะมันเช้ามาก ปกติเราไม่ได้ทานข้าวเช้ากลัวจะอิ่มเกินไป ท้องจะรับไม่ไหวเอา แต่เพื่อนบอกว่าไหนๆก็มาถึงนี่แล้ว ยังไงก็ต้องลองนะ แถมเชฟเฮีย recommend มาก ก็เลย เอาก็เอาว่ะ !

รสชาติไม่ต้องพูดถึง อร่อยมาก สดมาก ขนาด "อุนิ" ที่เราเคยเล่าไปในบล็อคก่อนหน้านี้ว่ารสชาติแย่เกินบรรยาย ที่นี่ยังถือว่ากินได้ค่ะ (สำหรับเรา อุนิ มันก็ไม่อร่อยอยู่ดี แต่อันนี้คือไม่ทรมานจะเป็นจะตายแบบครั้งแรกที่ได้ลอง)




ย่าน Shopping

เราไม่ได้ไปทั้งหมดในวันเดียวนะคะ กระจายไปหลายวัน แต่ขอรวบเอาไว้ด้วยกัน
ในโตเกียว เราเที่ยวค่อนข้างน้อยมาก หนักไปทางช็อปปิ้งกันเยอะ ส่วนใหญ่ไม่ซื้อด้วย เป็นการเดินดูซะมาก (ก็ผู้หญิงอ่ะนะ)
ยกตัวอย่างง่ายๆ โดยปกติ คนทั่วไปมักจะจัดตารางเที่ยว Shibuya - Harajuku (+ศาลเจ้าเมจิ) - Shinjuku ใน 1 วัน
แต่กรณีของเรา ไปได้แค่ Shibuya กับ Harajuku เท่านั้นค่ะ แถมไปศาลเจ้าเมจิไม่ทันอีกต่างหาก ไปถึงศาลเจ้าก็ถึงเวลาปิดพอดี เพราะมัวแต่หลงกับการดูของที่ Shibuya (แค่ Tokyu Hand ห้างเดียว อยู่กันประมาณ 4 ชั่วโมง - -")

Akihabara
ย่าน Akihabara เป็นย่านที่เหล่าคนรักการ์ตูนต้องมาค่ะ โอตาคุทั้งหลายมารวมกันอยู่ที่นี่แหละ แต่เนื่องจากเพื่อนเราที่ไปด้วยกัน นางไม่มีความสนใจในการ์ตูนญี่ปุ่นเลย เราเลยไม่ได้เดินที่นี่มากนักค่ะ 

เป้าหมายการมาที่นี่ของเรา คือ การตามหากันพลาให้น้องชายที่ห้าง Yodobashi
กันดั้มเยอะมากกกกกก พอไปถึงแผนกกันดั้ม เราเปิด video call กับน้องชาย น้องชายเห็นของที่ขายแล้ว ตาลุกวาว แทบจะกระโดดเอาตัวเองส่งผ่านสายโทรศัพท์ข้ามประเทศมาเลยทีเดียว




ข้อดีของการซื้อของที่ห้าง Yodobashi คือเราสามารถทำ Tax free ได้เลยค่ะ 

อย่างเราซื้อกันพลา 3 ตัว ก็เกิน 10,000 เยนแล้ว (น้องบอกว่าถูกมาก อยากให้ซื้อมากกว่านี้ แต่เราไม่ยอมค่ะ เราไม่มีปัญญาแบก แค่สามกล่องนี่เราก็เกือบตายแล้ว มันไม่หนัก แต่กล่องใหญ่มาก) ทำ Tax free ตรงนั้นได้เลย จ่ายเป็นราคาหัก Tax แล้ว

Shibuya




แน่นอนว่าที่นี่เป็นสวรรค์ของนักช็อป มีห้างและร้านค้าที่น่าสนใจเยอะมากกกกก (ก ล้านตัว) 
ความเห็นส่วนตัว ถ้ามีอารมณ์อยากจะช็อปปิ้งละก้อ เอาผู้หญิงคนหนึ่งมาทิ้งไว้ที่นี่ได้เป็นอาทิตย์ค่ะ เดินไปได้เรื่อยๆ ไม่เมื่อย ไม่เหนื่อย 5555+

ตัวเราเองก็เดินไปเรื่อยๆค่ะ พวกเครื่องสำอาง เราได้ซื้อมาแล้วบ้างจากที่โอซาก้า พอมาที่นี่ก็ยังซื้ออีกค่ะ (ตอนเราไปเดือนพฤษภาคม Tax free กับกลุ่มขนมและเครื่องสำอางยังไม่ได้ แต่ตอนนี้ได้แล้วนะคะ :D)
ร้านขายยาทั้งหลายมีตลอดทางค่ะ ทุกหนทุกแห่ง เดินยังไงก็เจอ (ประหนึ่งการเจอร้าน Etude ตอนเดินที่เมียงดงในเกาหลีเลยทีเดียว)

ห้างที่เราตั้งใจไป คือ Tokyu Hand กับ Loft ค่ะ 
แต่พอถึงเวลาจริงๆ เดิน Tokyu Hand อย่างเดียวก็หมดเวลาแล้ว 
ต่อด้วย Disney store ก็เย็นพอดี 
ผู้หญิงกับการเดินดูของช็อปปิ้งนี่มันคู่กันจริงๆ นะ ;P

Harajuku




Harajuku เป็นแหล่งวัยรุ่นที่เค้าว่ากันว่าจะมีคนแต่งคอสเพลย์มาประชันกันเยอะ แต่.....ต้องเป็นวันเสาร์-อาทิตย์ค่ะ เราไปวันธรรมดา แทบไม่เจออะไรเลย....

จริงๆ เราอยากไปศาลเจ้าเมจิมากๆ เลยค่ะ มีหลายคนไปแล้วเจอพิธีแต่งงานแบบญี่ปุ่น ...อยากเจอบ้าง
แต่อย่างที่บอกไปในข้างต้น หลงอยู่ในชิบูย่านานไปหน่อย (แหะๆ จริงๆ ก็ไม่หน่อยอ่ะค่ะ) กว่าจะเดินมาถึงฮาราจูกุ ก็หกโมงเย็นแล้ว ศาลเจ้าปิดพอดี เลยไม่ได้เดินเข้าไป

(วันที่เราไปฮาราจูกุ เห็นคนต่อแถวยาวมากกกกกกกกกกก เราสงสัยว่าเค้าต่อแถวอะไรกันเลยเดินไปดู ปรากฏว่า.....ต่อแถวซื้อ Garrett popcorn กันจ้าาาาา เป็นทุกประเทศจริงๆ)

เมื่อศาลเจ้าปิดแล้ว ไม่เป็นไร
ที่เช็คอินต่อไปของเราคือ ร้านเครปค่ะ ^-^

แต่ระหว่างทางก่อนจะถึงร้านเครป เราจะเดินผ่านร้าน 100 เยน
ถามว่า จะพลาดมั้ย?
ตอบเลยว่า ไม่!!!! ไม่พลาดแน่นอน หลงอยู่ในร้าน 100 เยนอีกนานมากกกกก 5555+
ได้ของมาเล็กน้อยถึงปานกลาง (หนึ่งในของที่ได้มานี้ จะมาช่วยชีวิตเราในวันแพ็คกระเป๋ากลับด้วย ราคาเบาๆ แต่ประโยชน์มหาศาล)

ร้านเครปจะมี 2 ร้านตั้งประจันหน้ากันอยู่ คือ ร้านสีชมพู กับ สีน้ำเงิน
มีคนบอกว่าอร่อยทั้งสองร้าน ซึ่งไม่รู้ว่าจริงมั้ย เพราะเราทานร้านเดียว 
ส่วนตัวแล้วเห็นว่า อร่อยดี แต่ไม่ได้ประทับใจอะไรมากมายค่ะ 
(เราชอบกินเครปร้อนแบบแข็งๆ ใส่หมูหยองพริกเผาอะไรแบบนี้ที่บ้านเรามากกว่าเครปนิ่มรสหวานอ่ะค่ะ) 

Ginza
ย่านนี้เป็นย่านแบรนด์เนมโดยแท้ 
เราตั้งใจไปเดินเท่านั้น กินบรรยากาศ แต่คงไม่ซื้ออะไร (ซื้อไม่ลง)

แต่.... (แต่ อีกแล้ววววว) .... สุดท้ายก็ได้ของจากร้าน GU




GU เป็นแบรนด์ลูกของ Uniqlo ค่ะ ราคาจะต่ำกว่า คุณภาพก็ปานกลาง ไม่ได้ดีเท่าไหร่
แต่มันถูกจริงๆ เว้ยเฮ้ย!
โดยเฉพาะของท่ีลดราคาอยู่ เดรสเหลือตัวละไม่ถึง 300 ผ้าอย่างหนา ทิ้งตัวดีมาก เสื้อแขนยาวน่ารักมากตัวละ 180 บาท เสื้อเชิ้ตผู้ชายเหลือตัวนึงไม่นึง 200 สวยด้วย  
....แหม ราคายังกะตลาดนัดบ้านเราขนาดนี้ จะไม่ซื้อยังไงไหวเนอะ (พยายามหาข้ออ้างให้ตัวเองตลอดเวลา 555+) 

Ameyoko 




ตลาด Ameyoko เป็นที่เลื่องชื่อลือชาอย่างมากในหมู่คนไทย คงไม่ต้องพูดอะไรกันแล้ว
เรามาที่นี่ เพราะตั้งใจไปตึกม่วง หรือตึก Takeya เพื่อซื้อขนมโดยเฉพาะเลยค่ะ

ที่ Takeya จะมีหลายตึกเลยค่ะ แยกตามประเภทของสินค้า 
ดังนั้นก่อนเดิน ต้องคิดก่อนนะคะว่าเราตั้งใจจะไปซื้ออะไร แล้วดูว่ามันอยู่ตึกไหน ค่อยไป ถ้าเดินมั่วๆ เกรงว่าจะเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์

เรากับเพื่อนตั้งใจไปซื้อกลุ่มขนม ชาเขียว และผงโรยข้าวโดยเฉพาะ ซึ่งหมวดของกินนี่ หาง่ายมาก เดินผ่าน Ameyako ไปปุ๊ป เริ่มเห็นตึกสีม่วงๆ จะเจอโซนของกินก่อนเลย 

ข้างในวุ่นวายมากๆ คนเยอะมากๆ โดยเฉพาะคนไทย เราเจอคนไทยที่นี่เยอะมาก รู้สึกประหนึ่งเดินอยู่โลตัสเลยทีเดียว 555+ เดินไปเราก็แอบฟังแอบดูไปค่ะว่าเค้าซื้ออะไรกัน เผื่อมีอะไรน่าสนใจเราจะได้ซื้อตาม 
ถ้าวันไหนมีเวลาจะมาเล่าถึงสารพัดของที่ซื้อมาให้ฟังอีกครั้งค่ะ