10 เมษายน 2559

Day 4-7: ชมซากุระสุดฟินที่ Kyoto

Kansai Sakura Trip 2015
Day 0-1 : ประสบการณ์นอนที่สนามบินคันไซกับครั้งแรกที่ Himeji
Day 2: Universal Studio Japan (USJ) กับบัตรเบ่ง Express Pass 5
Day 3: ตามล่าซากุระที่ Osaka แล้วไปช็อปปิ้งซอยละลายทรัพย์ Tenjinbashisuji
Day 4-7: ชมซากุระสุดฟินที่ Kyoto

∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇

ในที่สุด บล็อกนี้ก็ดองไว้ครบ 1 ปี พอดี ซากุระก็เริ่ม full bloom กันอีกครั้ง เราก็เพิ่งกลับจากทริปญี่ปุ่นอีก 1 ทริป ดองกันไว้ยาวมากๆ คราวนี้จะมาต่อให้จบค่ะ

เมืองเกียวโต เป็นอีกเมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องการชมซากุระมากค่ะ
มีหลายที่หลายแห่งให้เลือกสรร แต่ละที่ก็สวยๆทั้งนั้น เราดูกระทู้รีวิวของคนอื่นทั้งไทยและต่างชาติจนมึนไปหมด แต่สุดท้ายก็สรุปที่ที่อยากไป (และที่ที่ต้องไป) มาได้จำนวนหนึ่ง

วิธีการเลือกของเราคือดูจากรูปค่ะ อันนั้นเราเห็นว่าสวย ถูกจริต เราก็เลือกไปอันนั้นแหละ
ที่เราเลือกมามีวัด Daigoji, ริมแม่น้ำ Kamo และ Keage Incline ค่ะ

ส่วนที่ที่ต้องไปอย่างพวก landmark ต่างๆก็มี
 - วัดน้ำใส Kiyomizudera 
 - ศาลเจ้า Yasaka และ Maruyama park
 - ย่าน Gion
 - Arashiyama
 - วัดทอง Kinkakuji 
 - วัดเงิน Ginkakuji
- ทางเดินสายนักปราชญ์ Philosopher’s path (Tetsugaku no michi)
 - ศาลเจ้า Fushimi Inari 
 - ตลาด Nishiki Market แถมด้วยย่านช็อปปิ้งอย่าง Teramachi และ Shin- Kyogoku

คราวนี้เรามาจัดกลุ่มกันค่ะ
Arashiyama กับวัดทอง Kinkakuji จะตั้งอยู่ตอนบนของเกียวโต เพราะฉะนั้น 2 แห่งนี้ควรไปวันเดียวกัน เฉพาะ Arashiyama ใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งวันแน่ๆ วัดทองก็น่าจะใช้เวลาอีกประมาณ 2 ชั่วโมง รวมๆแล้ว วันที่ไป Arashiyama นี้น่าจะเหลือเวลาพอที่จะเที่ยวที่ไหนอีกสักแห่งในช่วงประมาณบ่าย 3 เป็นต้นไป ตรงนี้เราอาจไปวัดน้ำใสหรือ Keage Incline ต่อได้ค่ะ ดูเวลาอีกทีค่ะ

วัดเงิน Ginkakuji กับทางเดินสายนักปราชญ์ Philosopher’s path ต้องไปวันเดียวกันแน่ๆค่ะ เพราะวัดเงินเป็นจุดเริ่มของทางเดินสายนักปราชญ์พอดี 
อีกที่หนึ่งซึ่งสามารถเดินไปจากทางเดินสายนักปราชญ์ได้คือ Keage Incline ค่ะ แต่ตอนแรกเรายังดูๆไว้ก่อน ไม่ได้ฟันธงว่าต้องไปวันเดียวกัน เพราะจะต้องเดินเยอะมาก
Keage Incline มีอีกวิธีที่สบายมาก คือ นั่งรถไฟไปลงสถานี Keage เดินออกจากสถานีปุ๊บก็ถึงแล้วค่ะ ตรงนี้เราเลยคิดว่า ถ้าวันไปวัดทอง เวลาได้ อากาศดี เราอาจจะมาที่นี่ต่อโดยรถไฟก็ได้

วัดน้ำใส Kiyomizudera ศาลเจ้า Yasaka และ Maruyama park ย่าน Gion กลุ่มนี้อยู่ใกล้กันมาก แถมใกล้กับตลาด Nishiki อีก ยังไงคงต้องมาย่านนี้กันเกือบทุกวันแน่ๆ เลยวงๆไว้ก่อนค่ะ ไม่ได้ฟิคมากว่าอะไรต้องไปวันไหน เมื่อไหร่ ดูตามเวลากันอีกที

แต่ถ้าใครมีเวลา อยากแนะนำเส้นทางอีกเส้นทางหนึ่ง จริงๆเราอยากไปมาก แต่เนื่องจากเวลาไม่ลงตัว เลยต้องตัดออกไป คือ เส้นทาง Higashiyama (เส้นสีส้ม) จะเป็นเส้นที่เป็นบ้านทรงญี่ปุ่น จาก Kiyamizudera ยาวไปจนถึงศาลเจ้า Yasaka ค่ะ



ส่วน Fushimi Inari อันนี้ เราจับโยนไปไว้ในวันกลับค่ะ เพราะวันสุดท้ายเราจะใช้ Kansai Area Pass ซึ่งเป็น pass 1 day ของ JR เพื่อนั่ง Haruka ไปสนามบินอยู่แล้ว เลยกะใช้ pass นี้นั่งไปลงสถานี Inari ด้วยเลย ไม่ต้องไปเสียเงินเพิ่มในวันอื่นอีก

=================

Day 4 

วันนี้จริงๆแพลนตอนเช้าคือไปนาราค่ะ แต่เนื่องจากเรามีธุระนิดหน่อยเลยไม่ได้ไป
ปล่อยให้คุณเพื่อนไปเที่ยวนารา ชมน้องกวางกัน 2 คน

แต่ก่อนไปทำธุระ เราแอบเดินจากโรงแรมไปถึง Tsutenkaku tower มาค่ะ ไปตอนเช้า ร้านยังไม่ค่อยเปิด (แต่เห็นบางร้านเริ่มจัดร้านแล้ว) ระหว่างทางเดินไป(แบบมั่วๆ) เจอร้านที่เค้านั่งเล่นโกะกันด้วยค่ะ มีคุณลุงนั่งเล่นกันอยู่ แต่ไม่กล้าถ่ายรูป กลัวจะรบกวน รู้สึกเหมือนอยู่ในการ์ตูนฮิคารุเซียนโกะอย่างไรอย่างนั้นเลย 







หลังจากทำธุระอะไรเสร็จ เรานัดเจอเพื่อนที่เกียวโตค่ะ ซึ่งเนื่องจากเราไม่มีอินเตอร์เน็ต ทำให้ติดต่อเพื่อนไม่สะดวกเท่าไหร่ ประกอบกับหลายๆอย่าง กว่าจะเจอกัน เลทไปจากเวลานัดเยอะเลยค่ะ 

จริงๆ ตามแพลนวันนี้คือตั้งใจจะไปวัด Daigoji ตอนบ่าย ก็เลยไปไม่ทัน 
เราเสียดายมากกกกก จริงๆ เราถึงเกียวโตตั้งแต่เที่ยงๆแล้ว แต่เพราะนัดเพื่อนไว้บ่าย เลยตัดใจรอ คิดว่าไปพร้อมกันดีกว่า ท้ายสุดปรากฏว่าเกิด accident นิดหน่อย กว่าจะเจอกับเพื่อนก็เกือบสี่โมงเย็น ก็เลยต้องตัดใจค่ะ 

ช่วงเวลาระหว่างที่เรารอเพื่อนนั้น เราก็ยังคงใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ด้วยการไปเดินเล่นริมแม่น้ำ Kamogawa รอซะเลย ซึ่งตอนนั้นฝนตกค่อนข้างหนักเลย (แต่ยังคงมีคนมาวิ่งจ็อกกิ้ง ...เห็นแล้วงง ฝนตกขนาดนั้น ยังวิ่งจ็อกกิ้งตากฝนอีกเหรอ ???)
ช่วงที่เราเดินคือเริ่มต้นจากตรง K's house Kyoto ไล่ไปตามแม่น้ำ Komogawa จากสถานี Shichijo ไปเรื่อยๆ จนถึงสถานี Kiyomizu-gojo รวมระยะทางน่าจะประมาณเกือบๆ 1 km ค่ะ
ขนาดฝนตกๆนะคะ ซากุระริมแม่น้ำคือสวยมากกก จะมีต้นที่ full bloom บานเป็นระยะๆ แถมไม่มีคนเลยค่ะ (ก็นะ ฝนมันตก จะมีคนสักกี่คนมาเดินชมดอกไม้กัน) 
แต่เสียดายเราก็ไม่มีมือถ่ายรูปด้วยเหมือนกัน มือหนึ่งถือร่ม อีกมือถือถุงขยะ (ถังขยะเป็นสิ่งที่หายากจริงๆนะ >< !)
รูปที่ได้มานี่คือยืนอยู่ใต้สะพานค่ะ วางร่มแล้วถ่ายรูป ตรงซากุระนี่ ไม่ได้ถ่ายรูปเลย 555+



เดินชมซากุระจนอิ่มจนถึงสถานี Kiyomizu-gojo เราก็นั่งรถไฟสาย Keihan line ไปอีก 1 สถานี ลงที่สถานี Gion-Shijo เพื่อไปเดินเล่นค่ะ (วันนี้เราใช้ KTP ค่ะ เลยนั่งรถไฟตรงส่วนนี้ได้ฟรี)
พอออกจากสถานี Gion-Shijo แล้ว ย่านนี้เป็นย่านที่เราเคยมาพักเมื่อปีก่อนค่ะ มีทั้งห้างสรรพสินค้า ย่าน Shopping street อย่าง Teramachi และ Shin- Kyogoku (เส้นสีเหลือง) หรือตลาด Nishiki (เส้นสีแดง) รวมไปถึงใกล้กับศาลเจ้า Yasaka และ Gion ด้วยค่ะ (จะอยู่อีกฝั่งของสถานี Gion-Shijo)
แต่เนื่องจากพวกสถานที่ท่องเที่ยว ยังไงก็ต้องมากับเพื่อนอีกทีอยู่แล้ว เราเลยไปสำรวจตลาด shopping ดีกว่าค่ะ เดินไปเรื่อย ดูโน่นดูนี่ สนุกดีเหมือนกันค่ะ 5555+
ระหว่างทางเดินไปจะมีคลองสายเล็กๆที่ขนานกับแม่น้ำ Kamogawa ตรงจุดนี้จะมีแนวต้นซากุระด้วยค่ะ



เราเดินเล่นจนกระทั่งใกล้ถึงเวลานัดกับเพื่อน จึงกลับไปรอที่จุดนัดพบคือ K's house
พอพบกับเพื่อนแล้ว ก็กลับมาที่เดิมอีกครั้ง แต่คราวนี้ไปอีกด้านหนึ่งค่ะ
ตรงไปที่ศาลเจ้า Yasaka Shrine



ช่วงนี้ที่ศาลเจ้ามีงานเทศกาลอยู่ด้วยค่ะ มีงานออกร้านขายอาหารต่างๆ รวมถึงมีบ้านผีสิงด้วย (เหมือนงานวัดเมืองไทยนี่เอง) 




เดินเข้าไปใน Yasaka Shrine เรื่อยๆ เราจะพบกับ Maruyuma park ซึ่งเป็นที่ตั้งของต้นซากุระชื่อดังพันธุ์ย้อยหรือพันธุ์ Shidarezakura เป็นจุด check point อีกจุดที่คนไปถ่ายรูปกันเยอะมาก




หลังจากออกจาก Yasaka Shrine เดินออกไปอีกหน่อย เราจะไปถึงย่าน Gion 
Gion ที่เราจะไปกันมี 2 จุดค่ะ คือ Hanamikoji dori กับ Shirakawa Minami dori 
จุดแรกที่ Hanamikoji dori เดินออกจากศาลเจ้า Yasaka แล้วเดินตรงมาเรื่อยๆ ถนนเส้นนี้จะอยู่ทางซ้ายมือ เดินเข้าไปจะเป็นร้านอาหารสไตล์ญี่ปุ่น ตกแต่งแบบญี่ปุ่นๆ และบ่อยครั้งก็จะเจอไมโกะหรือเกอิชาฝึกหัดด้วยค่ะ




ส่วนอีกจุดที่ Shirakawa Minami dori จะเป็นจุดที่มีต้นซากุระเลียบแนวแม่น้ำเล็กๆค่ะ สวยมากกกกกก (และคนก็เยอะพอควรด้วยเช่นกัน)


=================

Day 5

วันนี้ตื่นแต่เช้าเพื่อไป Arashiyama กันค่ะ
การไป Arashiyama เพื่อนั่งรถไฟสายโรแมนติก มีได้หลายแบบ 
เช่น อาจจะนั่ง JR ลงสถานี Saga Arashiyama จากนั้นเดินไปนั่งรถไฟ Sagano ที่สถานี Torokko Saga ซึ่งเป็นต้นสายยาวไปจนสุดสายที่สถานี Kameoka แล้วนั่งเรือล่องกลับลงไปใกล้กับสะพาน Togetsukyo ก็ได้ 
หรืออาจใช้วิธีเดียวกับเรา คือ จาก Kyoto station นั่ง JR Sagano ลงที่ Umahori station จากนั้นเดินไปที่สถานี Kameoka station ของ Sagano sightseeing tram line แล้วไปลงที่สถานี Torokko Arashiyama station >>> ถ้าใช้สูตรนี้แนะนำให้นั่งฝั่งซ้ายจะเห็นวิวมากกว่าค่ะ 
Romantic Train มีเวลาทำการช่วงที่เราไป คือ 9.30-18.00 (แต่ละฤดูเวลาเปิด-ปิดจะแตกต่างกัน) ใช้เวลาประมาณ 20 นาที



พอออกจากสถานี Torokko Arashiyama เราสามารถเดินไปที่อุโมงค์ต้นไผ่ Bamboo forest stroll และ Tenryuji Temple (8.30-17.30: no closing day: 500Y)
และเดินไปจนถึง Togetsukyo bridge ใช้เวลาเดินทั้งหมดก็ประมาณ 2 ชั่วโมงได้ค่ะ


เพราะฉะนั้น แค่ Arashiyama ก็หมดอย่างน้อยครึ่งวันแน่ๆค่ะ 
เราแวะทานอาหารกลางวันกันแถวๆ Arashiyama นี่แหละค่ะ 
หลังจากทานอาหารและถ่ายรูปตรงสะพาน Togetsu เรียบร้อยแล้ว สถานที่ต่อไปที่เราจะไปกันก็คือสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตอย่างวัดทองหรือ Kinkakuji Temple (9.00-17.00: no closing day: 400Y)

จากสะพาน Togetsu ให้เดินย้อนกลับไปขึ้นรถไฟสาย Keifuku railway หรือที่เรียกกันว่า Randen
โดยขึ้นจากสถานี Arashiyama (A14) ไปเปลี่ยนสายจากสาย A เป็นสาย B ที่สถานี Katabira no Tsuji (A9)(B1) แล้วไปลงที่สถานี Kitano Hakubaicho (B9)
รถไฟสาย Randen นี้จะวิ่งผ่านอุโมงค์ซากุระ (Cherry Blossom Tunnel) ซึ่งอยู่ระหว่าง Narutaki (B3) กับ Utano (B4) ด้วยค่ะ เป็นจุดที่หลายคนชอบไปถ่ายภาพรถไฟคู่กับซากุระกัน ถ้ามีเวลาลองลงที่สถานีตามที่บอก เดินลงไปดูก็ได้นะคะ ถ้าแค่อยู่ในรถไฟแบบเราก็จะเห็นว่าผ่านต้นซากุระและเห็นคนมาคอยถ่ายรูปกันค่ะ (มีคนตั้งขาตั้งกล้องถ่ายกันเป็นงานเป็นการมากมาย)

จากสถานี Kitano Hakubaicho เราจะขึ้นรถบัสกันต่อค่ะ 
ตรงนี้จะเป็นป้าย Kitano Hakubai-cho ค่ะ สามารถขึ้นรถบัสสาย 101 102 204 หรือ 205 ไปลงที่ป้าย Kinkakuji-michi (ไม่ต้องกลัวหลงหรือลงไม่ถูกนะคะ รถบัสของญี่ปุ่นจะมีจอบอกป้ายอยู่ตลอด ว่าป้ายต่อไปคือป้ายอะไร ทั้งเป็นภาษาญี่ปุ่นและภาษาอังกฤษ)

ออกจากวัดทอง ยังพอมีเวลาอยู่พอสมควร เราเลยไปต่อกันที่ Nishiki Market และเก็บตก shopping กันแถวนั้นอีกนิดหน่อย
ที่ Nishiki market อาหารน่ากินเยอะมาก ควรเคลียร์ท้องให้ว่างก่อนมาด้วยนะคะ ( >_< )

=================

Day 6

วันนี้เป็นวันแห่งการชมซากุระโดยแท้เลยค่ะ
เริ่มต้นจากการนั่งรถบัสไปลงที่ป้าย Ginkukuji-michi
จากนั้นเดินไปวัดเงิน Ginkakuji (8.30-17.00: no closing day: 500Y) จุดสีเหลืองที่มุมขวาบน
แต่วัดเงินนี่ เงินแต่ชื่อนะคะ ต่างจากวัดทองที่สีทองจริงๆ เห็นว่าเงินหมดก่อนที่จะมีการฉาบสีเงิน

จากวัดเงิน พอเดินออกมาจะเป็นทางเดินสายนักปราชญ์ Philosopher’s path หรือ Tetsugaku no michi (เส้น A ถึง B) ระยะทางประมาณ​ 1.5 km มีซากุระเป็นแนวตลอดทาง



ช่วงที่ไป Full bloom พอดีค่ะ แต่เพราะมีฝนตก ทำให้ซากุระบางส่วนเริ่มร่วง บรรยากาศเลยยิ่งสวยไปอีกค่ะ พื้นเต็มไปด้วยกลับดอกซากุระ




จากทางเดินสายนักปราชญ์ เดินไปเรื่อยๆ ผ่านวัด Nanzenji จนถึง Keage Incline ค่ะ
เป็นเส้นที่มีซากุระเป็นแนวรอบทางรถไฟ (เส้น A ถึง B เส้นล่างตามภาพ)
ตรงจุดนี้ เป็นจุดที่มีคนไทยเยอะมากเป็นพิเศษ มีแต่เสียงภาษาไทยคุยกันตลอดเลย อบอุ่นเหมือนอยู่เมืองไทยเลยค่ะ

และจุดนี้ก็มีเรื่องเกิดขึ้นด้วยค่ะ เราเกิดอาการแพ้อะไรบางอย่างค่ะ ผื่นขึ้นทั้งตัว คอแดง หน้าแดงจนน่ากลัว เป็นอาการแพ้แน่ๆ แต่ปัญหาคือแพ้อะไร?
ระหว่างทางที่เดินมา เราได้มีโอกาสได้กินหน่อไม้ญี่ปุ่นย่าง นี่เป็นข้อสันนิษฐานหนึ่ง คือ แพ้หน่อไม้ญี่ปุ่น
กับอีกข้อสันนิษฐานหนึ่ง คือ แพ้เกสรดอกไม้ค่ะ เป็นอาการแพ้ที่คนญี่ปุ่นเป็นกันเยอะด้วยซิ
จนวันนี้ก็ยังไม่รู้ว่าแพ้อะไร 
แต่ที่แน่ๆ ทำให้รู้ว่า ยาอีกอย่างที่ควรติดไปต่างประเทศด้วย คือ ยาแก้แพ้ค่ะ (ปกติ เราจะติดพวกยาพารา ยาแก้ท้องเสีย หรือยาคลายกล้ามเนื้อไปต่างประเทศอยู่แล้ว แต่ไม่เคยพกยาแก้แพ้ไปด้วย จากเรื่องนี้ ทำให้ทริปต่อๆมา เราพกยาแก้แพ้ไปด้วยตลอดเลย) 



ตรง Keage Incline เราสามารถเดินไปเรื่อยๆ จนถึงศาลเจ้า Heian
จริงๆ ถ้ามีเวลา อยากเข้าไปในศาลเจ้าเฮอันอยู่เหมือนกันค่ะ แต่ด้วยเวลาหลายๆอย่าง เลยทำให้ได้แค่ถ่ายรูปกับโทริอิสีแดงขนาดใหญ่ที่หน้าศาลเจ้าเท่านั้นเองค่ะ 

จากจุดนี้ เรานั่งรถบัสต่อไปที่ป้าย Kiyomizu-michi bus stop จากนั้นเดินขึ้นเขาไปอีกประมาณ 10 นาทีก็จะถึงวัดน้ำใส หรือ Kiyomizudera Temple (6.00-18.00: no closing day: 300Y) 
ช่วงซากุระ กลางเดือนมีนาถึงเมษา วัดน้ำใสจะมีการเปิดให้ชมในตอนเย็นด้วย เป็น Spring Illumination (18.30-21.30: 400Y) 


ช่วงเย็นของวันนี้ เราและเพื่อนไปเก็บตกกันอยู่ที่ห้าง Yodobashi ตรงสถานี Kyoto station ค่ะ
สายชาร์จ iPhone เราขาด ทำให้ต้องไปซื้อใหม่ เทียบกับเงินบาท ราคาใกล้เคียงมาก ถูกกว่านิดหน่อย (หลักสิบ) 
เพื่อนเราจะไปซื้อ power bank กับ lense กล้อง
นอกจากนี้ เราต้องไปเดินตามหากันพลาให้น้องชาย ซึ่งแบบ..... ลำบากเล็กน้อยถึงปานกลาง เพราะกันพลามันเยอะ น้องให้รูปมา เรานี่เดินหาจนตาลาย สุดท้ายบางตัวต้องให้พนักงานช่วยหา 
เราเข้าไปอยู่ในโลกแห่งกันพลาทุกรอบที่มาญี่ปุ่น ทั้งๆที่เราไม่เคยพิสมัยการต่อกันพลาแม้แต่น้อย จนเราเริ่มรู้สึกว่ามันจะน่าต่อขึ้นมาบ้างแล้วค่ะตอนนี้ ^o^ 

=================

Day 7

วันสุดท้าย เป็นวันที่ต้องกลับเมืองไทยแล้วค่ะ 
วันนี้เราจะต้องเดินทางจาก Kyoto ไปยังสนามบินคันไซ​ โดยเราจะใช้ 1-day JR Kansai Area Pass เพื่อนั่ง Haruka ไปลงสนามบิน

เริ่มต้นวันนี้ที่ Fushimi Inari เลยค่ะ 
นั่ง JR ไปลงสถานี Inari ออกจากหน้าสถานีปุ๊บ ถึงเลยค่ะ ไม่มีหลงแน่นอน




เราไม่ได้เดินไปจนสุดทางของโทริอิสีแดงนะคะ (ไกลเกิ๊นนนน ไม่ไหวค่ะ)
จากนั้นก็เป็น Free time และนั่ง JR Airport Express Haruka ไปที่สนามบินคันไซ จัดการฝากกระเป๋า
จากนั้นก็ออกเดินทางไป Rinku Town Outlet
ตอนแรกก็คิดว่าไปไม่นาน ไปเดินเล่นๆ ไม่ได้จะซื้ออะไร
แต่เอาเข้าจริง 4-5 ชั่วโมงที่นี่ เราใช้คุ้มค่ามากกกก แทบไม่พอเลยค่ะ เดินยังไม่ทั่วเลย ผู้หญิงอ่ะนะ พอเริ่มช็อปปิ้ง ไฟเริ่มติดแล้ว เริ่มหยุดไม่ได้ สนุกมากค่ะ 55555+ 

ช็อปปิ้งเสร็จแล้ว ก็กลับไปเช็คอินที่สนามบิน ตอนแรกกะไปช็อปปิ้งที่ Duty Free ปิดท้าย แต่ว่าร้านใน Duty Free เริ่มทยอยปิดแล้ว ไม่รู้เป็นโชคดีหรือโชคร้ายเนอะ ( > < )

ท้ายสุด เลยจบทริปนี้แต่เพียงเท่านั้นค่าาาาาา


09 มีนาคม 2559

Day 3: ตามล่าซากุระที่ Osaka แล้วไปช็อปปิ้งซอยละลายทรัพย์ Tenjinbashisuji

Kansai Sakura Trip 2015
Day 0-1 : ประสบการณ์นอนที่สนามบินคันไซกับครั้งแรกที่ Himeji
Day 2: Universal Studio Japan (USJ) กับบัตรเบ่ง Express Pass 5
Day 3: ตามล่าซากุระที่ Osaka แล้วไปช็อปปิ้งซอยละลายทรัพย์ Tenjinbashisuji
Day 4-7: ชมซากุระสุดฟินที่ Kyoto

∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇


วันนี้ (ตอนเช้า) อากาศดีค่ะ
ภารกิจของวันนี้ก็ไม่มาก มีแค่ไปดูซากุระและ Shopping !!!!!

จริงๆ สถานที่ชมซากุระของโอซาก้ามีหลายแห่งค่ะ 
แต่เราเลือกมาแค่ 2 ที่ แต่เป็น 2 ที่ที่จัดว่าเด็ด ^-^

ที่แรกคือ Nishinomuru Garden ซึ่งอยู่ในบริเวณของปราสาทโอซาก้า (Osaka Castle) (เสียค่าเข้าชม) 
ที่สวนนี้มีจุดชมซากุระที่จะติดวิวตัวปราสาทโอซาก้าสวยๆหลายจุดเลยค่ะ




การเดินทาง: สถานี Tanimachi 4-chome (T23)(C18) - - - ถ้าหาชื่อแบบนี้ไม่เจอ ให้ลองหาว่า Tanimachiyonchome นะคะ

จากสถานีเดินไปทางปราสาทโอซาก้า สวน Nishinomuru จะอยู่ก่อนถึงจุดที่จะเข้าไปยังตัวปราสาทค่ะ
ระหว่างทางเดินไปเราก็จะเจอกับซากุระที่ปลูกอยู่รอบๆบริเวณปราสาทโอซาก้า



ไม่พูดเยอะค่ะ มาดูรูปภายในสวนกันดีกว่า 
ขนาดยังเช้าๆอยู่ ยังมีคนมาเริ่มจองที่ฮานามิกันแล้วค่ะ







เราใช้เวลาถ่ายรูปเล่นอยู่ในสวน Nishinomuru นานมากเลยค่ะ เรียกว่าถ่ายจนคุ้มค่าเข้า 555+
จากนั้นจึงเดินไปที่ปราสาทโอซาก้าต่อ (แต่ขอข้ามไปเนอะ ปีที่แล้วพูดไปแล้ว)



จากนั้รก็ออกที่ทางออกอีกฝั่งนึงเลยค่ะ เพื่อที่จะเปลี่ยนไปขึ้นรถไฟ JR ที่สถานี Osakajokoen

จากสถานี Osakajokoen เราจะเดินทางไปยังจุดชมซากุระอีกแห่งหนึ่งคือ Kema Sakuranomiya Park

การเดินทาง: สถานี Sakuranomiya (JR Loop line) / Temmabashi (subway) / Osakajo-Kitazume (JR Tozai line)
 Kema Sakuranomiya Park จะมีพื้นที่ค่อนข้างกว้างค่ะ เลยสามารถไปได้หลายสถานี (ซึ่งอยู่ไกลกันพอสมควร) แต่สถานีที่เราไปมาและแนะนำ คือ สถานี Sakuranomiya ค่ะ ออกจากสถานีปุ๊บ ถึงเลย

ที่นี่สามารถมองเห็นปราสาทโอซาก้าได้ด้วยนะคะ (เห็นแบบไกลๆ) 
น่าเสียดายตรงที่ตอนมาถึง  Kema Sakuranomiya Park แล้ว อากาศไม่เป็นใจเลย ฟ้าครึ้มมากๆ ถ่ายรูปไม่ค่อยงามเท่าไหร่ แต่ที่นี่คนเยอะมากๆค่ะ ครึกครื้นสุดๆ คนญี่ปุ่นมานั่งสังสรรกันเยอะมาก คนมา jogging ปั่นจักรยานก็มี



ที่นี่คนชอบมาถ่ายรูปรถไฟกับดอกซากุระกันค่ะ แต่เรารอนานมาก ไม่เห็นรถไฟสักขบวน เลยได้มาแค่ราง 555+



และแน่นอน เราใช้เวลาอยู่ที่นี่นานอีกตามเคยค่ะ เดินไม่ทั่วด้วย เพราะมันกว้างมากจริงๆค่ะ 
พอสมควรแก่เวลา เราเลยไปต่อดีกว่า

ที่ต่อไปที่เราจะไปกัน เราจะเริ่มเข้าสู่ภารกิจที่ 2 คือ การ Shopping!!

Tenjinbashisuji Shotengai Shopping Street

งานนี้เราตามรอยติวเตอร์ตู่กันค่ะ >> [CR]ติวเตอร์ตู่รีวิวสดจาก Osaka ... ลายแทงซอยละลายทรัพย์ของถูก ไม่ว่าของกิน ของช๊อปกว่า 2 กม. *** Tenjinbashisuji Shotenga

การเดินทาง: สถานี Temma (JR Loop Line) ---- เลยจากสถานี Sakuranomiya มาเพียงสถานีเดียวเท่านั้นค่ะ

รายละเอียดแนะนำให้ดูในกระทู้ติวเตอร์ตู่เลยค่ะ 
เราแทบไม่ได้ถ่ายรูปเลย มัวแต่ช็อปปิ้ง

ขอคอนเฟิร์มว่าของที่นี่ราคาถูกจริงค่ะ พวกเครื่องสำอาง ราคาถูกกว่าที่ Namba เกือบทุกอย่างเลย 
นอกจากนี้ ยังมีร้านค้าคล้าย supermarket เดินสนุกมากค่ะ ของกินเพียบ ราคาถูกด้วย พอเริ่มตกเย็นจะเริ่มมีของลดราคา แค่ดูคนญี่ปุ่นซื้อของกันก็สนุกแล้วค่ะ ^____^ 

ออกจากที่นี่ เรายังคงไปช็อปปิ้งและตระเวนกินต่อที่ Namba ค่ะ (ไปมันทุกวัน กินมันทุกวัน ซื้อของกันทุกวัน) 

เพราะฉะนั้นอย่าได้ถามว่าเฉพาะวันนี้หมดเงินไปเท่าไหร่
เรียกว่าล้มละลายกันตั้งแต่ต้นทริปเลยค่ะ

(ตอนต่อไปจะเป็นการไปตามล่าซากุระที่เกียวโตนะคะ ซึ่งอาจจะขอรวมวันที่ 4-7 ในบล็อกเดียว เพราะจริงๆ สถานที่แต่ละแห่งมันสลับกันไปมาได้ เราเองก็ไม่ได้วางแผน fix ว่าวันไหนต้องไปไหนบ้าง แค่วางไปคร่าวๆว่าอยากไปที่ไหนบ้าง แล้วดูเวลาในวันนั้นๆอีกทีว่าน่าจะไปที่ไหน)

08 มีนาคม 2559

Day 2: Universal Studio Japan (USJ) กับบัตรเบ่ง Express Pass 5

Kansai Sakura Trip 2015
Day 0-1 : ประสบการณ์นอนที่สนามบินคันไซกับครั้งแรกที่ Himeji
Day 2: Universal Studio Japan (USJ) กับบัตรเบ่ง Express Pass 5
Day 3: ตามล่าซากุระที่ Osaka แล้วไปช็อปปิ้งซอยละลายทรัพย์ Tenjinbashisuji
Day 4-7: ชมซากุระสุดฟินที่ Kyoto


∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇

ตั้งแต่ Universal Studio Japan (USJ) เปิดให้โซน Harry Potter เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2014 
USJ ก็เป็นเหมือนจุดมุ่งหมายหลักอีกแห่งหนึ่งของนักท่องเที่ยวหรือแม้แต่คนญี่ปุ่นเอง
สำหรับคนไทยรวมถึงเราเองก็ย่อมไม่พลาดแน่นอนอยู่แล้ว

เมื่อพฤษภาปี 2014 (ก่อนเปิดโซน Harry) เราไปญี่ปุ่น USJ ไม่อยู่ในหัวสมองเราแม้แต่นิด เพราะเราเคยไป Universal Studio Singapore หรือ USS มาแล้ว และตอนนั้นหลังจากอ่านหลายๆรีวิว เกือบทุกเสียงยืนยันว่า USS เครื่องเล่นสนุกกว่า USJ เพราะ USS เปิดทีหลัง เครื่องเล่นเลยใหม่กว่า ดูสนุกมากกว่า)
แต่พอมีโซน Harry ความคิดเราก็เปลี่ยนไป...

หลังจากเราพยายามจัดแพลนเที่ยวอย่างบ้าคลั่ง โดยพยายามหลีกเลี่ยงการไป USJ ในวันเสาร์-อาทิตย์ ในที่สุดเราก็ได้วันที่จะไป USJ มา ถึงแม้จะไม่ได้ดั่งใจเท่าไหร่ เพราะแผนแรกของเราวันที่จะไป USJ นั้นตรงกับวันอังคารของสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนเมษา ซึ่งเมื่อเช็คจำนวนคาดการณ์คนเข้าชม USJ แล้ว พบว่าคนค่อนข้างน้อยกว่าวันในสัปดาห์แรกของเดือนเมษาอย่างมาก
แต่ด้วยเหตุจำเป็น เนื่องจากไม่สามารถจองที่พักได้ตามแผนการที่วางไว้ทำให้ต้องสลับแพลนเที่ยวโอซาก้าในอาทิตย์แรกของเดือนเมษาและอาทิตย์ที่สองไปเที่ยวเกียวโตแทน

เว็บพยากรณ์จำนวนคนเข้า USJ >> http://www15.plala.or.jp/gcap/usj/
เว็บหลัก >> https://www.usj.co.jp/e/

เมื่อตัดสินใจว่าจะไป USJ ขั้นแรกเลยก็คือการหาข้อมูลเรื่องตั๋วเข้า USJ และบัตรต่างๆ

สำหรับ USJ นอกจากตั๋วเข้าแล้ว จะมีบัตรอีกแบบ เรียกว่า Express pass หรือเราเรียกว่าบัตรเบ่งค่ะ
2 บัตรนี้แยกกันนะคะ ต่อให้ซื้อ Express pass แล้วก็ยังต้องซื้อตั๋วเข้าอีกใบนึงด้วย ตัว Express pass จะเป็นแค่บัตรเบ่งให้เราสามารถเข้าเล่นเครื่องเล่นบางเครื่องได้เร็วขึ้น โดยไม่ต้องไปต่อคิวปกติที่คนอื่นต่อกัน

ตั๋วเข้า USJ 
ตั๋วเข้า USJ จะมีอยู่ 2 แบบคือ แบบ 1 day กับ 2 day
ปัจจุบันราคาตั๋วผู้ใหญ่ อยู่ที่ 7400 และ 12450 เยนตามลำดับค่ะ 
(ที่ต้องบอกว่าปัจจุบัน เพราะเราคุ้นๆว่าปีที่แล้วราคาตั๋วแบบวันเดียวอยู่ที่ 7200 เยนนะคะ)

วิธีการซื้อตั๋วมีหลายแบบค่ะ อาจจะไปซื้อด้านหน้าสวนสนุกในวันที่ไปเลยก็ได้หรืออาจจะซื้อล่วงหน้าไปจากเมืองไทยเลยก็ได้

หลังจากหาข้อมูลอยู่พักนึง เราก็ตัดสินใจจะซื้อตั๋วไปจากเมืองไทยเลยค่ะ โดยมีเงื่อนไขว่าเอเจ้นท์ที่เราจะซื้อนั้นจะต้องได้บัตรจริงเลย ไม่ต้องไปแลกที่ด้านหน้าสวนสนุกอีก เพื่อประหยัดเวลาค่ะ 

ช่วงประมาณเดือนกุมภาพันธ์ จะเป็นช่วงที่มีงาน Japan Expo ที่พารากอน กับงานเที่ยวทั่วไทยไปทั่วโลก (TITF) ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิต์ เราก็ไปดูจาก 2 งานนี้นี่แหละค่ะ
จากการสำรวจของเรา ถ้าใครมุ่งมั่นจะหาแพ็คเกจเกี่ยวกับการท่องเที่ยวแนะนำให้ไปงานหลังนะคะ เพราะงาน Japan expo จะเน้นไปเรื่องการหางานกับการเรียนต่อในญี่ปุ่นมากกว่า เรื่องท่องเที่ยวค่อนข้างน้อย
หลังจากเราเดินสำรวจราคาทั้งงาน (ที่ได้บัตรจริง) แล้ว ราคาทุกที่ค่อนข้างใกล้เคียงกันมาก คือ 2000 บาท ( *****ดอกจันสามร้อยดอก ราคาตั๋ว USJ จะขึ้นอยู่กับค่าเงินในขณะนั้นๆด้วย ช่วงที่เราไปซื้อ ค่าเงินอยู่ที่ .27X ค่ะ ดังนั้น ถ้าช่วงที่คุณไปราคาสูงกว่านี้ กรุณาดูอัตราแลกเปลี่ยนด้วยนะคะ)
เราเลยเลือกที่ที่สามารถตัดบัตรเครดิตได้โดยไม่ชาร์จค่ะ ซึ่งเราเจอ 2 ที่ คือ Compax กับ JTB
ที่ Compax ทีแถมที่ใส่พาสปอร์ต ส่วน JTB แถมแฟ้มลาย Harry potter
สุดท้าย เราเลือกซื้อที่ JTB เพราะคนขายน่ารักค่ะ ผู้หญิงนะคะ นางขำดี เราชอบ 555+

ตัวตั๋วที่ได้มาจะหน้าตาเป็นแบบนี้ค่ะ มีหลายลาย ใครจะได้ลายไหน ดวงล้วนๆ
ข้อดีของบัตรที่ซื้อมา นอกจากทำให้ไม่ต้องไปเข้าคิวซื้อบัตรด้านหน้าสวนสนุกแล้ว ยังเป็นบัตรแบบที่ไม่ต้องระบุวัน จะนำไปใช้วันไหนก็ได้ (แต่ต้องไม่เกินวันที่กำหนดไว้ในบัตรนะคะ)



Express pass 
อย่างที่บอกไปด้านบน Express pass คือบัตรเบ่งค่ะ 
การเล่นเครื่องเล่นต่างๆโดยเฉพาะเครื่องเล่นฮิตๆ คนจะเยอะมาก ต้องใช้เวลารอค่อนข้างนาน แต่ถ้าเรามี express pass มันจะมีเลนพิเศษให้เราโดยเฉพาะเลยค่ะ เป็นเหมือนทางด่วนนั่นแหละค่ะ (เป็นทางด่วนที่ราคาแพ้งแพง)

ถ้าไม่อยากซื้อ express pass แต่อยากได้เลนพิเศษ มีอีกเลนค่ะ เรียกว่า single drive คือเป็นเลนสำหรับคนที่มาคนเดียว --- ปกติ เครื่องเล่นต่างๆ มันอาจจะมีที่นั่งในแถวถึง 4 ที่ แต่กรุ๊ปที่ไปเที่ยวอาจจะมี 3 คนใช่มั้ยคะ พนักงานจะดึงคนจากเลน single drive มาเติมตรงที่นั่งนั้นค่ะ
แต่ข้อเสียคือ single drive ไม่ได้มีทุกเครื่องเล่น และไม่ใช่ว่าจะมีตลอดค่ะ ต้องสังเกตเอาเอง

ตอนที่เราไป Express pass จะมี 3 แบบ คือ Express pass 3, Express pass 5 และ Express pass 7 ค่ะ
ตัวเลขที่ตามหลังคือจำนวนเครื่องเล่นที่เราจะสามารถใช้เลนพิเศษได้ค่ะ ซึ่งไม่ใช่ว่าเราจะสามารถเลือกได้นะคะว่าจะเล่นเครื่องเล่นไหนบ้าง แต่ในแต่ละบัตรจะมีกำหนดมาให้เลยว่าเครื่องเล่นไหนบ้างที่เราจะใช้บัตรนี้ได้บ้าง

เช่น Express pass 5 เครื่องเล่นที่สามารถใช้บัตรนี้ได้ คือ 
1. Harry Potter and the Forbidden Journey
2. The Amazing Adventures of Spider-Man - The Ride
3. Hollywood Dream – The Ride หรือ Backdraft (เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง)
4. JAWS® หรือ Back To The Future - The Ride (เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง)
5. Jurassic Park – The Ride หรือ Terminator 2:3-D (เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง)
และสามารถกำหนดเวลาในการเข้าโซน Harry ได้ โดยระบุเวลาตั้งแต่ตอนซื้อ (อย่างไรก็ตาม ตอนที่เราซื้อ เค้าจะมีเวลาให้เลือกค่ะว่าจะเลือกช่วงเวลาไหน ซึ่งบางช่วงเวลาหากมีคนเลือกก่อนหน้าเราไปแล้วจนเต็มโควต้าที่เค้ากันไว้ให้ เวลาช่วงนั้นก็จะไม่ขึ้นให้เราเลือกอีกค่ะ - - - รู้เพราะเคยกดเข้าไปลองซื้อดูรอบนึง เวลามีให้เลือกตั้งแต่เช้าจรดเย็น แต่พอใกล้ๆจะไป กดเข้าไปซื้อจริง เวลาจะเหลือแค่บางช่วงค่ะ แต่ตอนปลายๆปีที่แล้ว ได้ข่าวว่าเค้าเปลี่ยนวิธีค่ะ คือจะไม่ให้เราเลือกเวลาเองแล้ว แต่จะกำหนดเวลามาให้เลยว่าจะต้องเข้าโซน Harry ช่วงไหน)

ราคาของ Express pass นั้นจะมีลักษณะเป็นช่วง จะราคาสูงหรือต่ำขึ้นอยู่กับว่าวันนั้นๆคนจะเยอะหรือน้อยค่ะ ถ้าวันไหนคนเยอะมากๆ ราคา Express pass ก็จะแพงตาม
Express pass 3 (3300 - 4500 yen)
Express pass 5 (5200 - 7200 yen)
Express pass 7 (6600 - 9800 yen)

การซื้อ Express pass นั้น เราสามารถซื้อได้ด้วยตัวเองได้เลยค่ะ โดยเราทำตามกระทู้นี้เลยค่ะ อธิบายวิธีการไว้ดีมากๆ (การซื้อ Express pass ต้องซื้อผ่านหน้าเว็บ USJ ภาษาญี่ปุ่นนะคะ ถ้าเลือกเป็นภาษาอังกฤษ จะไม่มีปุ่มขึ้นให้กดซื้อค่ะ) >> [CR]**Review** การซื้อตั๋ว Express pass ของ USJ ด้วยตัวเอง Step by Step
พอซื้อเสร็จ ก็จัดการ print ออกมาเป็น A4 เลยนะคะ แต่พอเวลาใช้จริง พับๆๆ ให้เห็นเฉพาะ QR code ก็ได้ค่ะ เค้าจะใช้สแกนแค่ตัว QR code อย่างเดียว ไม่ได้ดูอย่างอื่น

เอาล่ะ นี่คือเรื่องของตอนที่เราไปมา

แต่ แต่ แต่

ตอนที่เขียนบล็อกนี้ เราได้เข้าไปดูในเว็บของ USJ พบว่า Express pass 3, 5 และ 7 จะจำหน่ายถึงแค่วันที่ 17 มีนาคม 2016 ซึ่งก็คือปีนี้เท่านั้น!!
หลังจากนั้นจะเปลี่ยนเป็น Express 4 (4500 - 8100 yen) และ Express 7 (6900 - 13200 yen) โดย Express pass 4 จะแบ่งย่อยเป็นอีก 2 แบบ (ต่างกันที่เครื่องเล่นที่ใช้บัตรได้) กับ Express pass 7 อีก 3 แบบ 
เราไม่ได้ดูละเอียดว่าอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปบ้าง ยังไงสามารถดูรายละเอียดได้ที่ >> https://www.usj.co.jp/e/ticket/ เลยค่ะ

จะเห็นว่าเปลี่ยนไปค่อนข้างเยอะเลยค่ะ ยังไงอัเพดทกันด้วยนะคะ
เข้าใจว่าวิธีการซื้อ Express pass ก็อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้างอยู่เหมือนกัน ต้องเช็คกันดีๆด้วยนะคะ

จบเรื่องการเตรียมตัวไป คราวนี้ขอพูดถึงวันไปกันบ้าง

ช่วงวันที่ไปนั้น USJ มี event พิเศษ คือ Universal cool Japan หนึ่งในนั้น คือ Attack on Titan ค่ะ เราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย เลยแวะเข้าไปถ่ายรูปเล่นเฉยๆ แต่คนในโซนนี้เยอะมากกกกกก เข้าใจว่าเรื่องนี้น่าจะดังอยู่ (เพื่อนๆผู้ชายเราที่เห็นเราไปตรงกับช่วงนี้ คือ อิจ กันมาก ---- แต่เราไม่อินไง เลยไม่เข้าใจ 5555+)



วันนั้น พยากรณ์อากาศบอกว่าฝนจะตกค่ะ ซึ่งก็ตกจริงๆ ทำให้อากาศหนาวมากกกกกกกกก ช่วงเช้ายังไม่เท่าไหร่ค่ะ แต่ช่วงบ่ายที่เข้าไปในโซน Harry คือแบบแย่เลยค่ะ 
ตอนแรกอยากเล่นฮิปโปกริฟด้วย  แต่ด้วยอากาศอันหนาวเหน็บ พร้อมฝนโปรยปราย คือสู้ไม่ไหวจริงๆ แต่เห็นคนญี่ปุ่นบ่ยั่นกันมาก อากาศแบบนี้ เค้าคงชินด้วย (แต่คนเมืองร้อนและขี้หนาวอย่างเราไม่ชินค่ะ)

พูดถึงคนญี่ปุ่น ช่วงตอนฝนตกนี่เราได้เดินเข้าไปในโซน snoopy ซึ่งเป็นโซนที่มีเครื่องเล่นสำหรับเด็กเล็กเยอะๆ เราค่อนข้างทึ่งในการดูแลเด็กของคนญี่ปุ่นมากๆเลยค่ะ 
ถ้าฝนตกขนาดนี้เป็นเมืองไทย เราเชื่อว่าพ่อแม่เด็กมีเรียกให้หลบฝนแล้ว ไม่ให้ไปเล่นเครื่องเล่นกลางแจ้งอย่างแน่นอน
แต่ที่เราเห็นนี่คือ พ่อแม่ก็ยังคงปล่อยให้ลูกๆ เล่นเครื่องเล่นต่อไป อาจจะแค่ไปซื้อเสื้อกันฝนมาใส่ให้ แค่นั้นจบ ไปเล่นต่อได้ ถึกมากๆค่ะ เด็กๆ 
เสื้อกันฝนที่เราเห็นขายในโซนนี้คือน่ารักมากกกกกก มี snoppy กับ sesame ค่ะ แล้วมีขนาดตั้งแต่เด็กจนถึงผู้ใหญ่เลย 

คราวนี้มาพูดถึงเครื่องเล่นบ้าง (เท่าที่จำได้นะคะ)
อย่างที่บอกไปว่าเรามี Express pass 5 ดังนั้นเครื่องเล่นที่เราเล่นก็จะอยู่ในการใช้ pass นี้เป็นหลักค่ะ (ใช้ไม่ครบด้วย เพราะเราเป็นสายถ่ายรูป มากกว่าเล่นเครื่องเล่นค่ะ)

อันแรกที่เราไปเล่น คือ The Amazing Adventures of Spider-Man อันนี้สนุกค่ะ คล้ายๆกับ Transformer ที่ USS (แต่ Transformer สนุกกว่า) เราจะตกไปอยู่ในการต่อสู้ของสไปเดอร์แมนกับตัวร้าย ไม่หวาดเสียวมากนะคะ กำลังดี (ปกติเครื่องเล่นที่หวาดเสียวมากๆอย่างพวกรถไฟเหาะตีลังกา อะไรแบบนี้ เราไม่เล่นค่ะ เรากลัว (นอกจากโดนหลอกไปเล่น))

Harry Potter and the Forbidden Journey อันนี้ก็สนุกค่ะ คล้ายๆกับ Spiderman กับ Transformer อยู่เหมือนกัน แต่จะหวาดเสียวกว่าเล็กน้อย เพราะตัวเก้าอี้ที่นั่งจะเป็นลักษณะนั่งห้อยขาค่ะ ขาเราจะฟรีอยู่ในอากาศ เหมือนเรากำลังขี่ไม้กวาดอยู่

Back To The Future อันนี้น่าเบื่อมากเลยค่ะ คือถ้าเราต้องไปต่อคิวปกติเพื่อเล่นอันนี้ แล้วเล่นเสร็จ เราคงเสียดายเวลา

Show: Shrek / Sesame Street อันที่เราดูคือโชว์ของ Sesame ค่ะ เพราะเราเคยดู Sherk ที่ USS มาแล้วเลายเปลี่ยนบ้าง ซึ่งไม่รู้เพราะฟังภาษาญี่ปุ่นไม่ออก (ตอนดู Sherk ที่ USS เป็นภาษาอังกฤษค่ะ) หรือเพราะมันไม่สนุกจริงๆกันแน่ เราว่า Sherk ดีกว่าค่ะ

Terminator 2:3-D อันนี้เป็นอีกอันที่ช่วงแรกใช้ภาษาญี่ปุ่นเยอะมากๆ คนญี่ปุ่นก็เฮฮากันไป ส่วนเรางงค่ะ เอ๋ เค้าพูดอะไรกัน 5555+ ระหว่างการโชว์ จริงๆก็ใช้ได้ค่ะ แต่พอดูไปสักพัก เราหลับค่ะ เพื่อนเราก็หลับ สามัคคีกันมาก 555555+

นี่เป็นภาพบรรยากาศบางส่วนค่ะ บางคนเค้าจัดเต็มชุดพ่อมดแม่มดมาเลยนะคะ ชอบมาก
ส่วนอีกสิ่งที่พลาดไม่ได้ของ USJ คงเป็น Butter beer ค่ะ อร่อยผิดคาดมากๆ ใครไป ต้องลองนะคะ แนะนำๆ

ส่วนจุดถ่ายรูปฮอกวอตต์ที่ห้ามพลาด (แต่เราพลาดไปแล้ว) คือ โซนกลางแจ้งของร้านไม้กวาดสามอัน ซึ่งเป็นร้านอาหารค่ะ เวลาถ่ายรูปจะเห็นตัวปราสาทสะท้อนน้ำพอดี เราเสียดายมากกกกก เพราะไปนั่งในร้านนี้อยู่ตั้งนาน แต่ไม่ได้เดินออกไปโซนกลางแจ้ง นั่งอยู่แต่ในร้าน อย่าพลาดเหมือนเรากันนะคะ

นึกไม่ค่อยออกแล้วค่ะ ถ้านึกอะไรออกอีกจะมาเพิ่มทีหลังนะคะ :D