09 มีนาคม 2559

Day 3: ตามล่าซากุระที่ Osaka แล้วไปช็อปปิ้งซอยละลายทรัพย์ Tenjinbashisuji

Kansai Sakura Trip 2015
Day 0-1 : ประสบการณ์นอนที่สนามบินคันไซกับครั้งแรกที่ Himeji
Day 2: Universal Studio Japan (USJ) กับบัตรเบ่ง Express Pass 5
Day 3: ตามล่าซากุระที่ Osaka แล้วไปช็อปปิ้งซอยละลายทรัพย์ Tenjinbashisuji
Day 4-7: ชมซากุระสุดฟินที่ Kyoto

∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇


วันนี้ (ตอนเช้า) อากาศดีค่ะ
ภารกิจของวันนี้ก็ไม่มาก มีแค่ไปดูซากุระและ Shopping !!!!!

จริงๆ สถานที่ชมซากุระของโอซาก้ามีหลายแห่งค่ะ 
แต่เราเลือกมาแค่ 2 ที่ แต่เป็น 2 ที่ที่จัดว่าเด็ด ^-^

ที่แรกคือ Nishinomuru Garden ซึ่งอยู่ในบริเวณของปราสาทโอซาก้า (Osaka Castle) (เสียค่าเข้าชม) 
ที่สวนนี้มีจุดชมซากุระที่จะติดวิวตัวปราสาทโอซาก้าสวยๆหลายจุดเลยค่ะ




การเดินทาง: สถานี Tanimachi 4-chome (T23)(C18) - - - ถ้าหาชื่อแบบนี้ไม่เจอ ให้ลองหาว่า Tanimachiyonchome นะคะ

จากสถานีเดินไปทางปราสาทโอซาก้า สวน Nishinomuru จะอยู่ก่อนถึงจุดที่จะเข้าไปยังตัวปราสาทค่ะ
ระหว่างทางเดินไปเราก็จะเจอกับซากุระที่ปลูกอยู่รอบๆบริเวณปราสาทโอซาก้า



ไม่พูดเยอะค่ะ มาดูรูปภายในสวนกันดีกว่า 
ขนาดยังเช้าๆอยู่ ยังมีคนมาเริ่มจองที่ฮานามิกันแล้วค่ะ







เราใช้เวลาถ่ายรูปเล่นอยู่ในสวน Nishinomuru นานมากเลยค่ะ เรียกว่าถ่ายจนคุ้มค่าเข้า 555+
จากนั้นจึงเดินไปที่ปราสาทโอซาก้าต่อ (แต่ขอข้ามไปเนอะ ปีที่แล้วพูดไปแล้ว)



จากนั้รก็ออกที่ทางออกอีกฝั่งนึงเลยค่ะ เพื่อที่จะเปลี่ยนไปขึ้นรถไฟ JR ที่สถานี Osakajokoen

จากสถานี Osakajokoen เราจะเดินทางไปยังจุดชมซากุระอีกแห่งหนึ่งคือ Kema Sakuranomiya Park

การเดินทาง: สถานี Sakuranomiya (JR Loop line) / Temmabashi (subway) / Osakajo-Kitazume (JR Tozai line)
 Kema Sakuranomiya Park จะมีพื้นที่ค่อนข้างกว้างค่ะ เลยสามารถไปได้หลายสถานี (ซึ่งอยู่ไกลกันพอสมควร) แต่สถานีที่เราไปมาและแนะนำ คือ สถานี Sakuranomiya ค่ะ ออกจากสถานีปุ๊บ ถึงเลย

ที่นี่สามารถมองเห็นปราสาทโอซาก้าได้ด้วยนะคะ (เห็นแบบไกลๆ) 
น่าเสียดายตรงที่ตอนมาถึง  Kema Sakuranomiya Park แล้ว อากาศไม่เป็นใจเลย ฟ้าครึ้มมากๆ ถ่ายรูปไม่ค่อยงามเท่าไหร่ แต่ที่นี่คนเยอะมากๆค่ะ ครึกครื้นสุดๆ คนญี่ปุ่นมานั่งสังสรรกันเยอะมาก คนมา jogging ปั่นจักรยานก็มี



ที่นี่คนชอบมาถ่ายรูปรถไฟกับดอกซากุระกันค่ะ แต่เรารอนานมาก ไม่เห็นรถไฟสักขบวน เลยได้มาแค่ราง 555+



และแน่นอน เราใช้เวลาอยู่ที่นี่นานอีกตามเคยค่ะ เดินไม่ทั่วด้วย เพราะมันกว้างมากจริงๆค่ะ 
พอสมควรแก่เวลา เราเลยไปต่อดีกว่า

ที่ต่อไปที่เราจะไปกัน เราจะเริ่มเข้าสู่ภารกิจที่ 2 คือ การ Shopping!!

Tenjinbashisuji Shotengai Shopping Street

งานนี้เราตามรอยติวเตอร์ตู่กันค่ะ >> [CR]ติวเตอร์ตู่รีวิวสดจาก Osaka ... ลายแทงซอยละลายทรัพย์ของถูก ไม่ว่าของกิน ของช๊อปกว่า 2 กม. *** Tenjinbashisuji Shotenga

การเดินทาง: สถานี Temma (JR Loop Line) ---- เลยจากสถานี Sakuranomiya มาเพียงสถานีเดียวเท่านั้นค่ะ

รายละเอียดแนะนำให้ดูในกระทู้ติวเตอร์ตู่เลยค่ะ 
เราแทบไม่ได้ถ่ายรูปเลย มัวแต่ช็อปปิ้ง

ขอคอนเฟิร์มว่าของที่นี่ราคาถูกจริงค่ะ พวกเครื่องสำอาง ราคาถูกกว่าที่ Namba เกือบทุกอย่างเลย 
นอกจากนี้ ยังมีร้านค้าคล้าย supermarket เดินสนุกมากค่ะ ของกินเพียบ ราคาถูกด้วย พอเริ่มตกเย็นจะเริ่มมีของลดราคา แค่ดูคนญี่ปุ่นซื้อของกันก็สนุกแล้วค่ะ ^____^ 

ออกจากที่นี่ เรายังคงไปช็อปปิ้งและตระเวนกินต่อที่ Namba ค่ะ (ไปมันทุกวัน กินมันทุกวัน ซื้อของกันทุกวัน) 

เพราะฉะนั้นอย่าได้ถามว่าเฉพาะวันนี้หมดเงินไปเท่าไหร่
เรียกว่าล้มละลายกันตั้งแต่ต้นทริปเลยค่ะ

(ตอนต่อไปจะเป็นการไปตามล่าซากุระที่เกียวโตนะคะ ซึ่งอาจจะขอรวมวันที่ 4-7 ในบล็อกเดียว เพราะจริงๆ สถานที่แต่ละแห่งมันสลับกันไปมาได้ เราเองก็ไม่ได้วางแผน fix ว่าวันไหนต้องไปไหนบ้าง แค่วางไปคร่าวๆว่าอยากไปที่ไหนบ้าง แล้วดูเวลาในวันนั้นๆอีกทีว่าน่าจะไปที่ไหน)

08 มีนาคม 2559

Day 2: Universal Studio Japan (USJ) กับบัตรเบ่ง Express Pass 5

Kansai Sakura Trip 2015
Day 0-1 : ประสบการณ์นอนที่สนามบินคันไซกับครั้งแรกที่ Himeji
Day 2: Universal Studio Japan (USJ) กับบัตรเบ่ง Express Pass 5
Day 3: ตามล่าซากุระที่ Osaka แล้วไปช็อปปิ้งซอยละลายทรัพย์ Tenjinbashisuji
Day 4-7: ชมซากุระสุดฟินที่ Kyoto


∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇

ตั้งแต่ Universal Studio Japan (USJ) เปิดให้โซน Harry Potter เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2014 
USJ ก็เป็นเหมือนจุดมุ่งหมายหลักอีกแห่งหนึ่งของนักท่องเที่ยวหรือแม้แต่คนญี่ปุ่นเอง
สำหรับคนไทยรวมถึงเราเองก็ย่อมไม่พลาดแน่นอนอยู่แล้ว

เมื่อพฤษภาปี 2014 (ก่อนเปิดโซน Harry) เราไปญี่ปุ่น USJ ไม่อยู่ในหัวสมองเราแม้แต่นิด เพราะเราเคยไป Universal Studio Singapore หรือ USS มาแล้ว และตอนนั้นหลังจากอ่านหลายๆรีวิว เกือบทุกเสียงยืนยันว่า USS เครื่องเล่นสนุกกว่า USJ เพราะ USS เปิดทีหลัง เครื่องเล่นเลยใหม่กว่า ดูสนุกมากกว่า)
แต่พอมีโซน Harry ความคิดเราก็เปลี่ยนไป...

หลังจากเราพยายามจัดแพลนเที่ยวอย่างบ้าคลั่ง โดยพยายามหลีกเลี่ยงการไป USJ ในวันเสาร์-อาทิตย์ ในที่สุดเราก็ได้วันที่จะไป USJ มา ถึงแม้จะไม่ได้ดั่งใจเท่าไหร่ เพราะแผนแรกของเราวันที่จะไป USJ นั้นตรงกับวันอังคารของสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนเมษา ซึ่งเมื่อเช็คจำนวนคาดการณ์คนเข้าชม USJ แล้ว พบว่าคนค่อนข้างน้อยกว่าวันในสัปดาห์แรกของเดือนเมษาอย่างมาก
แต่ด้วยเหตุจำเป็น เนื่องจากไม่สามารถจองที่พักได้ตามแผนการที่วางไว้ทำให้ต้องสลับแพลนเที่ยวโอซาก้าในอาทิตย์แรกของเดือนเมษาและอาทิตย์ที่สองไปเที่ยวเกียวโตแทน

เว็บพยากรณ์จำนวนคนเข้า USJ >> http://www15.plala.or.jp/gcap/usj/
เว็บหลัก >> https://www.usj.co.jp/e/

เมื่อตัดสินใจว่าจะไป USJ ขั้นแรกเลยก็คือการหาข้อมูลเรื่องตั๋วเข้า USJ และบัตรต่างๆ

สำหรับ USJ นอกจากตั๋วเข้าแล้ว จะมีบัตรอีกแบบ เรียกว่า Express pass หรือเราเรียกว่าบัตรเบ่งค่ะ
2 บัตรนี้แยกกันนะคะ ต่อให้ซื้อ Express pass แล้วก็ยังต้องซื้อตั๋วเข้าอีกใบนึงด้วย ตัว Express pass จะเป็นแค่บัตรเบ่งให้เราสามารถเข้าเล่นเครื่องเล่นบางเครื่องได้เร็วขึ้น โดยไม่ต้องไปต่อคิวปกติที่คนอื่นต่อกัน

ตั๋วเข้า USJ 
ตั๋วเข้า USJ จะมีอยู่ 2 แบบคือ แบบ 1 day กับ 2 day
ปัจจุบันราคาตั๋วผู้ใหญ่ อยู่ที่ 7400 และ 12450 เยนตามลำดับค่ะ 
(ที่ต้องบอกว่าปัจจุบัน เพราะเราคุ้นๆว่าปีที่แล้วราคาตั๋วแบบวันเดียวอยู่ที่ 7200 เยนนะคะ)

วิธีการซื้อตั๋วมีหลายแบบค่ะ อาจจะไปซื้อด้านหน้าสวนสนุกในวันที่ไปเลยก็ได้หรืออาจจะซื้อล่วงหน้าไปจากเมืองไทยเลยก็ได้

หลังจากหาข้อมูลอยู่พักนึง เราก็ตัดสินใจจะซื้อตั๋วไปจากเมืองไทยเลยค่ะ โดยมีเงื่อนไขว่าเอเจ้นท์ที่เราจะซื้อนั้นจะต้องได้บัตรจริงเลย ไม่ต้องไปแลกที่ด้านหน้าสวนสนุกอีก เพื่อประหยัดเวลาค่ะ 

ช่วงประมาณเดือนกุมภาพันธ์ จะเป็นช่วงที่มีงาน Japan Expo ที่พารากอน กับงานเที่ยวทั่วไทยไปทั่วโลก (TITF) ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิต์ เราก็ไปดูจาก 2 งานนี้นี่แหละค่ะ
จากการสำรวจของเรา ถ้าใครมุ่งมั่นจะหาแพ็คเกจเกี่ยวกับการท่องเที่ยวแนะนำให้ไปงานหลังนะคะ เพราะงาน Japan expo จะเน้นไปเรื่องการหางานกับการเรียนต่อในญี่ปุ่นมากกว่า เรื่องท่องเที่ยวค่อนข้างน้อย
หลังจากเราเดินสำรวจราคาทั้งงาน (ที่ได้บัตรจริง) แล้ว ราคาทุกที่ค่อนข้างใกล้เคียงกันมาก คือ 2000 บาท ( *****ดอกจันสามร้อยดอก ราคาตั๋ว USJ จะขึ้นอยู่กับค่าเงินในขณะนั้นๆด้วย ช่วงที่เราไปซื้อ ค่าเงินอยู่ที่ .27X ค่ะ ดังนั้น ถ้าช่วงที่คุณไปราคาสูงกว่านี้ กรุณาดูอัตราแลกเปลี่ยนด้วยนะคะ)
เราเลยเลือกที่ที่สามารถตัดบัตรเครดิตได้โดยไม่ชาร์จค่ะ ซึ่งเราเจอ 2 ที่ คือ Compax กับ JTB
ที่ Compax ทีแถมที่ใส่พาสปอร์ต ส่วน JTB แถมแฟ้มลาย Harry potter
สุดท้าย เราเลือกซื้อที่ JTB เพราะคนขายน่ารักค่ะ ผู้หญิงนะคะ นางขำดี เราชอบ 555+

ตัวตั๋วที่ได้มาจะหน้าตาเป็นแบบนี้ค่ะ มีหลายลาย ใครจะได้ลายไหน ดวงล้วนๆ
ข้อดีของบัตรที่ซื้อมา นอกจากทำให้ไม่ต้องไปเข้าคิวซื้อบัตรด้านหน้าสวนสนุกแล้ว ยังเป็นบัตรแบบที่ไม่ต้องระบุวัน จะนำไปใช้วันไหนก็ได้ (แต่ต้องไม่เกินวันที่กำหนดไว้ในบัตรนะคะ)



Express pass 
อย่างที่บอกไปด้านบน Express pass คือบัตรเบ่งค่ะ 
การเล่นเครื่องเล่นต่างๆโดยเฉพาะเครื่องเล่นฮิตๆ คนจะเยอะมาก ต้องใช้เวลารอค่อนข้างนาน แต่ถ้าเรามี express pass มันจะมีเลนพิเศษให้เราโดยเฉพาะเลยค่ะ เป็นเหมือนทางด่วนนั่นแหละค่ะ (เป็นทางด่วนที่ราคาแพ้งแพง)

ถ้าไม่อยากซื้อ express pass แต่อยากได้เลนพิเศษ มีอีกเลนค่ะ เรียกว่า single drive คือเป็นเลนสำหรับคนที่มาคนเดียว --- ปกติ เครื่องเล่นต่างๆ มันอาจจะมีที่นั่งในแถวถึง 4 ที่ แต่กรุ๊ปที่ไปเที่ยวอาจจะมี 3 คนใช่มั้ยคะ พนักงานจะดึงคนจากเลน single drive มาเติมตรงที่นั่งนั้นค่ะ
แต่ข้อเสียคือ single drive ไม่ได้มีทุกเครื่องเล่น และไม่ใช่ว่าจะมีตลอดค่ะ ต้องสังเกตเอาเอง

ตอนที่เราไป Express pass จะมี 3 แบบ คือ Express pass 3, Express pass 5 และ Express pass 7 ค่ะ
ตัวเลขที่ตามหลังคือจำนวนเครื่องเล่นที่เราจะสามารถใช้เลนพิเศษได้ค่ะ ซึ่งไม่ใช่ว่าเราจะสามารถเลือกได้นะคะว่าจะเล่นเครื่องเล่นไหนบ้าง แต่ในแต่ละบัตรจะมีกำหนดมาให้เลยว่าเครื่องเล่นไหนบ้างที่เราจะใช้บัตรนี้ได้บ้าง

เช่น Express pass 5 เครื่องเล่นที่สามารถใช้บัตรนี้ได้ คือ 
1. Harry Potter and the Forbidden Journey
2. The Amazing Adventures of Spider-Man - The Ride
3. Hollywood Dream – The Ride หรือ Backdraft (เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง)
4. JAWS® หรือ Back To The Future - The Ride (เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง)
5. Jurassic Park – The Ride หรือ Terminator 2:3-D (เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง)
และสามารถกำหนดเวลาในการเข้าโซน Harry ได้ โดยระบุเวลาตั้งแต่ตอนซื้อ (อย่างไรก็ตาม ตอนที่เราซื้อ เค้าจะมีเวลาให้เลือกค่ะว่าจะเลือกช่วงเวลาไหน ซึ่งบางช่วงเวลาหากมีคนเลือกก่อนหน้าเราไปแล้วจนเต็มโควต้าที่เค้ากันไว้ให้ เวลาช่วงนั้นก็จะไม่ขึ้นให้เราเลือกอีกค่ะ - - - รู้เพราะเคยกดเข้าไปลองซื้อดูรอบนึง เวลามีให้เลือกตั้งแต่เช้าจรดเย็น แต่พอใกล้ๆจะไป กดเข้าไปซื้อจริง เวลาจะเหลือแค่บางช่วงค่ะ แต่ตอนปลายๆปีที่แล้ว ได้ข่าวว่าเค้าเปลี่ยนวิธีค่ะ คือจะไม่ให้เราเลือกเวลาเองแล้ว แต่จะกำหนดเวลามาให้เลยว่าจะต้องเข้าโซน Harry ช่วงไหน)

ราคาของ Express pass นั้นจะมีลักษณะเป็นช่วง จะราคาสูงหรือต่ำขึ้นอยู่กับว่าวันนั้นๆคนจะเยอะหรือน้อยค่ะ ถ้าวันไหนคนเยอะมากๆ ราคา Express pass ก็จะแพงตาม
Express pass 3 (3300 - 4500 yen)
Express pass 5 (5200 - 7200 yen)
Express pass 7 (6600 - 9800 yen)

การซื้อ Express pass นั้น เราสามารถซื้อได้ด้วยตัวเองได้เลยค่ะ โดยเราทำตามกระทู้นี้เลยค่ะ อธิบายวิธีการไว้ดีมากๆ (การซื้อ Express pass ต้องซื้อผ่านหน้าเว็บ USJ ภาษาญี่ปุ่นนะคะ ถ้าเลือกเป็นภาษาอังกฤษ จะไม่มีปุ่มขึ้นให้กดซื้อค่ะ) >> [CR]**Review** การซื้อตั๋ว Express pass ของ USJ ด้วยตัวเอง Step by Step
พอซื้อเสร็จ ก็จัดการ print ออกมาเป็น A4 เลยนะคะ แต่พอเวลาใช้จริง พับๆๆ ให้เห็นเฉพาะ QR code ก็ได้ค่ะ เค้าจะใช้สแกนแค่ตัว QR code อย่างเดียว ไม่ได้ดูอย่างอื่น

เอาล่ะ นี่คือเรื่องของตอนที่เราไปมา

แต่ แต่ แต่

ตอนที่เขียนบล็อกนี้ เราได้เข้าไปดูในเว็บของ USJ พบว่า Express pass 3, 5 และ 7 จะจำหน่ายถึงแค่วันที่ 17 มีนาคม 2016 ซึ่งก็คือปีนี้เท่านั้น!!
หลังจากนั้นจะเปลี่ยนเป็น Express 4 (4500 - 8100 yen) และ Express 7 (6900 - 13200 yen) โดย Express pass 4 จะแบ่งย่อยเป็นอีก 2 แบบ (ต่างกันที่เครื่องเล่นที่ใช้บัตรได้) กับ Express pass 7 อีก 3 แบบ 
เราไม่ได้ดูละเอียดว่าอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปบ้าง ยังไงสามารถดูรายละเอียดได้ที่ >> https://www.usj.co.jp/e/ticket/ เลยค่ะ

จะเห็นว่าเปลี่ยนไปค่อนข้างเยอะเลยค่ะ ยังไงอัเพดทกันด้วยนะคะ
เข้าใจว่าวิธีการซื้อ Express pass ก็อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้างอยู่เหมือนกัน ต้องเช็คกันดีๆด้วยนะคะ

จบเรื่องการเตรียมตัวไป คราวนี้ขอพูดถึงวันไปกันบ้าง

ช่วงวันที่ไปนั้น USJ มี event พิเศษ คือ Universal cool Japan หนึ่งในนั้น คือ Attack on Titan ค่ะ เราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย เลยแวะเข้าไปถ่ายรูปเล่นเฉยๆ แต่คนในโซนนี้เยอะมากกกกกก เข้าใจว่าเรื่องนี้น่าจะดังอยู่ (เพื่อนๆผู้ชายเราที่เห็นเราไปตรงกับช่วงนี้ คือ อิจ กันมาก ---- แต่เราไม่อินไง เลยไม่เข้าใจ 5555+)



วันนั้น พยากรณ์อากาศบอกว่าฝนจะตกค่ะ ซึ่งก็ตกจริงๆ ทำให้อากาศหนาวมากกกกกกกกก ช่วงเช้ายังไม่เท่าไหร่ค่ะ แต่ช่วงบ่ายที่เข้าไปในโซน Harry คือแบบแย่เลยค่ะ 
ตอนแรกอยากเล่นฮิปโปกริฟด้วย  แต่ด้วยอากาศอันหนาวเหน็บ พร้อมฝนโปรยปราย คือสู้ไม่ไหวจริงๆ แต่เห็นคนญี่ปุ่นบ่ยั่นกันมาก อากาศแบบนี้ เค้าคงชินด้วย (แต่คนเมืองร้อนและขี้หนาวอย่างเราไม่ชินค่ะ)

พูดถึงคนญี่ปุ่น ช่วงตอนฝนตกนี่เราได้เดินเข้าไปในโซน snoopy ซึ่งเป็นโซนที่มีเครื่องเล่นสำหรับเด็กเล็กเยอะๆ เราค่อนข้างทึ่งในการดูแลเด็กของคนญี่ปุ่นมากๆเลยค่ะ 
ถ้าฝนตกขนาดนี้เป็นเมืองไทย เราเชื่อว่าพ่อแม่เด็กมีเรียกให้หลบฝนแล้ว ไม่ให้ไปเล่นเครื่องเล่นกลางแจ้งอย่างแน่นอน
แต่ที่เราเห็นนี่คือ พ่อแม่ก็ยังคงปล่อยให้ลูกๆ เล่นเครื่องเล่นต่อไป อาจจะแค่ไปซื้อเสื้อกันฝนมาใส่ให้ แค่นั้นจบ ไปเล่นต่อได้ ถึกมากๆค่ะ เด็กๆ 
เสื้อกันฝนที่เราเห็นขายในโซนนี้คือน่ารักมากกกกกก มี snoppy กับ sesame ค่ะ แล้วมีขนาดตั้งแต่เด็กจนถึงผู้ใหญ่เลย 

คราวนี้มาพูดถึงเครื่องเล่นบ้าง (เท่าที่จำได้นะคะ)
อย่างที่บอกไปว่าเรามี Express pass 5 ดังนั้นเครื่องเล่นที่เราเล่นก็จะอยู่ในการใช้ pass นี้เป็นหลักค่ะ (ใช้ไม่ครบด้วย เพราะเราเป็นสายถ่ายรูป มากกว่าเล่นเครื่องเล่นค่ะ)

อันแรกที่เราไปเล่น คือ The Amazing Adventures of Spider-Man อันนี้สนุกค่ะ คล้ายๆกับ Transformer ที่ USS (แต่ Transformer สนุกกว่า) เราจะตกไปอยู่ในการต่อสู้ของสไปเดอร์แมนกับตัวร้าย ไม่หวาดเสียวมากนะคะ กำลังดี (ปกติเครื่องเล่นที่หวาดเสียวมากๆอย่างพวกรถไฟเหาะตีลังกา อะไรแบบนี้ เราไม่เล่นค่ะ เรากลัว (นอกจากโดนหลอกไปเล่น))

Harry Potter and the Forbidden Journey อันนี้ก็สนุกค่ะ คล้ายๆกับ Spiderman กับ Transformer อยู่เหมือนกัน แต่จะหวาดเสียวกว่าเล็กน้อย เพราะตัวเก้าอี้ที่นั่งจะเป็นลักษณะนั่งห้อยขาค่ะ ขาเราจะฟรีอยู่ในอากาศ เหมือนเรากำลังขี่ไม้กวาดอยู่

Back To The Future อันนี้น่าเบื่อมากเลยค่ะ คือถ้าเราต้องไปต่อคิวปกติเพื่อเล่นอันนี้ แล้วเล่นเสร็จ เราคงเสียดายเวลา

Show: Shrek / Sesame Street อันที่เราดูคือโชว์ของ Sesame ค่ะ เพราะเราเคยดู Sherk ที่ USS มาแล้วเลายเปลี่ยนบ้าง ซึ่งไม่รู้เพราะฟังภาษาญี่ปุ่นไม่ออก (ตอนดู Sherk ที่ USS เป็นภาษาอังกฤษค่ะ) หรือเพราะมันไม่สนุกจริงๆกันแน่ เราว่า Sherk ดีกว่าค่ะ

Terminator 2:3-D อันนี้เป็นอีกอันที่ช่วงแรกใช้ภาษาญี่ปุ่นเยอะมากๆ คนญี่ปุ่นก็เฮฮากันไป ส่วนเรางงค่ะ เอ๋ เค้าพูดอะไรกัน 5555+ ระหว่างการโชว์ จริงๆก็ใช้ได้ค่ะ แต่พอดูไปสักพัก เราหลับค่ะ เพื่อนเราก็หลับ สามัคคีกันมาก 555555+

นี่เป็นภาพบรรยากาศบางส่วนค่ะ บางคนเค้าจัดเต็มชุดพ่อมดแม่มดมาเลยนะคะ ชอบมาก
ส่วนอีกสิ่งที่พลาดไม่ได้ของ USJ คงเป็น Butter beer ค่ะ อร่อยผิดคาดมากๆ ใครไป ต้องลองนะคะ แนะนำๆ

ส่วนจุดถ่ายรูปฮอกวอตต์ที่ห้ามพลาด (แต่เราพลาดไปแล้ว) คือ โซนกลางแจ้งของร้านไม้กวาดสามอัน ซึ่งเป็นร้านอาหารค่ะ เวลาถ่ายรูปจะเห็นตัวปราสาทสะท้อนน้ำพอดี เราเสียดายมากกกกก เพราะไปนั่งในร้านนี้อยู่ตั้งนาน แต่ไม่ได้เดินออกไปโซนกลางแจ้ง นั่งอยู่แต่ในร้าน อย่าพลาดเหมือนเรากันนะคะ

นึกไม่ค่อยออกแล้วค่ะ ถ้านึกอะไรออกอีกจะมาเพิ่มทีหลังนะคะ :D






02 มีนาคม 2559

Day 0-1: ประสบการณ์นอนที่สนามบินคันไซกับครั้งแรกที่ Himeji

Kansai Sakura Trip 2015
Day 0-1 : ประสบการณ์นอนที่สนามบินคันไซกับครั้งแรกที่ Himeji
Day 2: Universal Studio Japan (USJ) กับบัตรเบ่ง Express Pass 5
Day 3: ตามล่าซากุระที่ Osaka แล้วไปช็อปปิ้งซอยละลายทรัพย์ Tenjinbashisuji
Day 4-7: ชมซากุระสุดฟินที่ Kyoto

∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇

ไม่ได้เข้ามาเขียนบล็อกนานมาก จนกำลังจะไปญี่ปุ่นอีกทริปแล้ว เลยคิดว่ายังไงต้องมาเคลียร์บล็อกของปี 2015 ให้เสร็จซะก่อน
แต่เนื่องจากมันนานแล้ว บางอย่างก็แอบลืมๆไปบ้างแล้ว หรือบางอย่างก็อาจมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้าง เช่น วิธีการจอง หรือ ราคา ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย อะไรที่ทราบข้อมูลอัพเดทจะพยายามอัพเดทให้เลยค่ะ

เริ่มกันตั้งแต่วันแรกของการเดินทาง

รอบนี้เราเดินทางด้วย TAAX ซึ่งเป็นการเดินทางออกนอกประเทศด้วยสายการบินแบบ low cost ครั้งแรกของเรา และเป็นครั้งแรกตั้งแต่จำความได้ที่ต้องไปขึ้นเครื่องที่สนามบินดอนเมือง ซึ่งบอกเลยว่าไม่มีความคุ้นเคยเลยค่ะ 

เมื่อไปถึงสนามบินดอนเมืองตอนแรก กะว่าชิลแล้ว เพราะทำเว็บเช็คอินมาเรียบร้อย ไป bag drop ที่แถวพิเศษของ Air Asia ได้เลย ดูจากสายตาแถวก็ไม่ยาวมากเท่าไหร่

แต่ปรากฏว่า.....

ช่อง Bag drop มีช่องเดียวค่ะ ทำให้ช้ามากกก ไปๆมาๆ แถวปกติดันเร็วกว่าซะงั้น! แอบเซ็งเบาๆ ต่อที่ 1
ต่อที่ 2 คือ เครื่อง delay ค่ะ จาก 15.10 น. เป็น 16.00 น.
ทำให้เวลาถึงปลายทางที่สนามบินคันไซ (KIX) เลื่อนจาก 22.50 น. เป็น 23.30 น.
ตรงนี้ ชัดเลยว่า ถ้าใครวางแผนจะนั่งรถไฟเที่ยวสุดท้ายจากสนามบินเข้าเมืองจะเห็นเลยว่าไม่ทัน เครื่องลง 23.30 ก็จริง แต่กว่าจะออกจาก ต.ม. ได้และรับกระเป๋าเสร็จก็ 00.30 น. แล้วค่ะ แถว ต.ม. ยาวมากกกก
ใครไปไฟล์ทนี้ อาจจะเจอเหตุการณ์แบบนี้ได้ กรุณาเตรียมแผนสำรองด้วยนะคะ

****ย้ำอีกครั้ง ไปไฟล์ทดึก ใครวางแผนจะเข้าเมืองโดยรถไฟ กรุณาเตรียมแผนสำรองด้วยนะคะ

สำหรับเรา เป็นโชคดี (รึเปล่า?) ที่เรากับเพื่อนตั้งใจนอนที่สนามบินกันอยู่แล้ว
เป็นความใฝ่ฝันส่วนตัวของเราเลยค่ะ อยากนอนสนามบินมานานแล้ว แต่ไม่มีใครยอมนอนด้วยสักที ครั้งนี้เวลาลงเครื่องประจวบเหมาะ แถมเพื่อความประหยัด เลยหว่านล้อมให้เพื่อนๆยอมนอนสนามบินกันได้ ดีใจมาก 555+

ประสบการณ์การนอนสนามบินครั้งแรกในชีวิต เราปักหลักนอนกันอยู่ที่หน้า Family Mart ค่ะ 
จริงๆแล้ว ตั้งใจไปปักหลักที่หน้า KIX Airport Lounge เพราะคิดว่าตอนเช้าจะมาอาบน้ำที่นี่ก่อนไปเที่ยว แต่ตอนไปถึงที่เต็มหมดแล้ว เลยต้องหาที่ใหม่แทน (จริงๆ ด้านใน lounge ก็สามารถนอนได้นะคะ เสียเงินอีกนิดหน่อย เป็นอีกทางเลือกหนึ่งค่ะ)
ปกติ เราไม่ใช่คนหลับยากนะคะ แต่ครั้งนี้คือยอมรับเลยว่าหลับๆตื่นๆ ยิ่งช่วงใกล้เช้านี่ หลับไม่สนิทเลย จะมีเสียงเข้าหูตลอด 
เพราะฉะนั้น ถ้าผู้ที่ต้องการนอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มที่หรือมากับเด็กหรือผู้สูงอายุ นอนโรงแรมเถอจะเกิดผล จะสบายและสะดวกกว่ามาก 

อีกประการหนึ่ง ปัจจุบัน การเดินทางออกจาก KIX เข้าเมืองสำหรับไฟล์ทดึกมีเยอะขึ้นมาก ลีมูซีนบัสก็มี 24 hr. แล้ว ไม่จำเป็นต้องนอนสนามบินก็ได้นะคะ

!!!! และล่าสุด ประมาณปลายปี 2015 ทางสนามบิน KIX ได้ขอความร่วมมือนักท่องเที่ยวทุกคน อย่าใช้เก้าอี้สนามบินในส่วนที่ไม่อนุญาตเป็นที่นอน เนื่องจากมีนักท่องเที่ยวบางส่วนได้เลื่อน/ย้ายเก้าอี้ของทางสนามบิน สร้างความลำบากให้กับนักท่องเที่ยวอื่น และทำให้มีเก้าอี้เสียและต้องซ่อมแซมจำนวนมาก

ตามข่าว ตั้งแต่ สิงหาคม 2015 มา ทางสนามบินได้จัดพื้นที่ Aeroplaza ชั้น 2 ไว้ให้บริการ โดยมีเก้าอี้เอนได้ ผ้าห่ม และห้องอาบน้ำให้บริการด้วย (ห้องอาบน้ำต้องเสียค่าบริการนะคะ) ยังไงถ้าใครจะนอนที่สนามบินคันไซก็ขอความร่วมมือด้วยนะคะ เราลอง search ดูพบว่าโซนนี้อยู่ตึกเดียวกับโรงแรม Nikko ต้องเดินออกมาจากตัว terminal ก่อนถึงจะเจอนะคะ ใครไปแล้วกลับมาทำรีวิวด้วยเน้ออออ



ก่อนมา เราหาข้อมูลเรื่องที่อาบน้ำ พบว่าห้องอาบน้ำที่นี่เปิด 24 ชั่วโมง เลยกะว่าสักตี 3-4 ก็จะไปอาบน้ำ 
แต่พอไปถึง ไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ทางพนักงานแจ้งว่าจะให้คนเข้าอาบน้ำได้ตอนตี 5 หรือ 6 โมงเช้านี่แหละค่ะ (มันนานแล้วไม่แน่ใจเรื่องเวลา) เราก็งงๆ แต่ทุกคนที่ไป lounge ณ ตอนนั้น ได้คำตอบเดียวกันหมด 
ก่อนถึงเวลาที่พนักงานแจ้งประมาณ 15 นาที เราก็ไปยืนรอเพื่อติดต่อที่ด้านหน้า แต่ปรากฏว่าทางพนักงานแจ้งว่าถ้าจะเข้าอาบน้ำนั้น ต้องรอไปอีก 1-2 ชั่วโมง ตอนแรกเราแอบเคืองว่า อ้าว ไหนบอกให้มาเวลานี้ เราก็มาตามเวลาที่เค้าบอก แต่ทำไมถึงมีคนก่อนเราเยอะจัง แต่พอคิดๆแล้วก็เข้าใจได้ว่าอาจเป็นคนที่ไปนอนค้างอยู่ด้านใน ต่อคิวเพื่ออาบน้ำค่ะ ทำให้นาน

จริงๆ เราไม่ซีเรียสเรื่องอาบน้ำเลยนะคะ ไม่อาบก็เที่ยวได้ 555+ (ทริปที่แล้ว เราก็ซักแห้ง ไม่ได้อาบน้ำ) แต่เพื่อนเราบอกว่าไม่ได้ ยังไงก็ตามอาบ นางทนตัวเองไม่ได้ แต่พอมันต้องรอนานมาก ท้ายสุดก็เลยตัดสินใจเดินทางไปโรงแรมที่จองไว้ดีกว่า ไปขออาบน้ำที่โรงแรม น่าจะพอมีหวังกว่า

พอเดินออกจากตัวอาคาร terminal เราจะได้พบกับสถานีรถไฟ 2 อันติดกัน คือ สถานี Kansai Airport ของ JR line และ Nankai line 

มาถึงตรงนี้ เรามีภารกิจในการซื้อ pass ที่จะใช้ท่องเที่ยวกันในทริปนี้
ทริปนี้ เราตัดสินใจใช้ pass 2 ตัวคือ 3-days Kansai Thru Pass กับ 1-day JR Kansai Area Pass

เริ่มที่ Kansai Thru Pass ก่อน
ตัวนี้เราซื้อที่ Ticket office ด้านหน้าสถานี Kansai Airport เพราะที่นี่จะเปิดตั้งแต่ตี 5 ในขณะที่ Tourist Information Centre ภายในสนามบินจะเปิดตอน 7 โมงเช้า 
ข้อดีของพาสนี้ คือ สามารถใช้วันไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องใช้ติดกันเหมือนพาสของ JR และครอบคลุมพื้นที่ในคันไซแบบทุกหย่อมหญ้า สะดวกมากจริงๆค่ะ
ข้อเสีย คือ ในกรณีที่เดินทางข้ามเมืองไกลๆ เช่น Wakayama Himeji จะเสียเวลาในการเดินทางเยอะกว่า JR และบางจุด อาจจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนสถานี
Kansai Thru Pass จะมีแบบ 2 วันกับ 3 วันนะคะ เลือกใช้กันได้ตามสะดวก รายละเอียดอื่นๆ กรุณาดูตาม link official website นะคะ

ส่วน JR Kansai Area Pass
ข้อหลักๆเลยที่ตัดสินใจใช้ Kansai Area Pass แบบ 1 วัน เพราะวันสุดท้ายเราจะต้องเดินทางจากสถานีเกียวโตไปยังสนามบินคันไซ เพื่อความสะดวกและรวดเร็ว จึงตั้งใจนั่ง Haruka ค่ะ ซึ่งถ้าคำนวนค่า Haruka จากเกียวโตถึงสนามบิน (2850 เยน) เทียบกับพาสนี้แล้ว (2300 เยน) พาสนี้ถูกกว่าอีกค่ะ คุ้มกว่าเห็นๆ

อย่างไรก็ตาม ล่าสุดมากๆ คือจะเริ่มใช้วันที่ 1 มีนาคม 2016 มีพาสอีกตัวนึงที่ออกมาเป็นตัวเลือกให้ผู้ที่จะเดินทางจากเกียวโตไปสนามบินคันไซได้อีกทาง นั่นคือ Haruka&Icoca ฉบับปรับปรุงใหม่

แต่เดิม Haruka&Icoca จะซื้อได้เฉพาะที่สนามบิน และ Haruka แบบเที่ยวเดียวสามารถใช้เดินทางออกจากสนามบินเท่านั้น ไม่สามารถใช้เพื่อเดินทางมายังสนามบินได้
แต่ Haruka&Icoca ที่จะออกมาให้นั้น สามารถซื้อได้หลายแห่งมากขึ้น และสามารถซื้อแบบเที่ยวเดียวเป็นการเดินทางไปยังสนามบินได้แล้ว
รายละเอียดอื่นๆ ดูได้จาก website นี้เลยค่ะ >> https://www.westjr.co.jp/global/en/travel-information/pass/icoca-haruka/

กลับมาที่ Kansai Area Pass ของเรา
ตัว Kansai Area Pass ณ ตอนที่เราไปมีการปรับราคาขึ้น จากเดิม 2060 เยนเป็น 2300 เยน (โชคร้ายมาก) แต่ถ้ามีการทำ booking online ไปก่อน จะสามารถลดราคาได้ 100 เยน เหลือ 2200 เยน และทำให้สะดวกมากขึ้นในการไปรับพาสค่ะ
ขั้นตอนไม่ยากค่ะ เข้าไปที่เว็บ JR Kansai Area Pass กด book now >> กรอกรายละเอียด >> print
พอไปถึงตัว JR ticket office ก็ยื่นกระดาษที่ print มาให้เจ้าหน้าที่เลยค่ะ อึดใจเดียว เรียบร้อยแล้ว
(ตอนเราไป แถวของ JR ค่อนข้างยาวเลยค่ะ ในขณะที่ Nankai ไม่มีคนเลย การทำ booking online ไปก่อน น่าจะช่วยทำให้เร็วขึ้นไม่มากก็น้อยค่ะ)
สำหรับตัว Haruka&Icoca ถ้าทำ booking online ไปก่อนจะทำให้เลือกลายของบัตร Icoca ได้ ถ้าไม่ได้ทำไป อาจมีกรณีลายที่อยากได้หมดก็มีค่ะ

เมื่อจัดการซื้อพาสที่จะใช้เสร็จแล้ว เราก็ออกเดินทางจากสนามบินไปโรงแรมกันเลย
วันนี้เราจะเปิดใช้ KTP เป็นวันที่ 1 ค่ะ เพราะฉะนั้น การเข้าเมืองเราจะเดินทางด้วย Nankai line
ทริปนี้ ที่โอซาก้าเราจะพักกันที่ โรงแรม Chuo Oasis รายละเอียดขอแยกเป็นอีกบล็อกนะคะ
จากสถานี Kansai Airport จะต้องไปลงที่สถานี Shin-Imamiya

พอไปถึง โชคดีมากค่ะ ทางโรงแรมให้ check-in ได้เลย (ปกติจะให้ check in ตอนบ่าย 3) ทำให้พวกเราได้มีโอกาสอาบน้ำ แต่อีกแง่หนึ่งก็ทำให้เลทจากเวลาที่คิดไว้ไปมาก กว่าจะได้ออกจากโรงแรมก็ 9 โมงแล้ว

การเดินทางจากย่านนี้ไปยัง Himeji ให้นั่ง subway จากสถานี Dobutsuen-mea (M22) ซึ่งอยู่ใกล้กับโรงแรมมากกกก ไปลงสถานี Umeda (M16) จากนั้นเดินจาก subway Umeda ไปสถานี Umeda (Hanshin) แล้วนั่ง Sanyo through Ltd. Exp. ไปลงสถานี SanyoHimeji

กว่าจะเดินทางไปถึง Himeji ก็ตอนเที่ยงๆพอดี อากาศดีมากกก เย็นๆ กำลังดี มีแดด ฟ้าใส ถ่ายรูปสวย
การเดินทางไปยังตัวปราสาท Himeji ง่ายมากๆๆๆๆ
เพราะพอออกจากสถานี แล้ว จะเห็นปราสาทอยู่ไกลๆเลยค่ะ เดินไปตามทาง ตรงอย่างเดียว
ระหว่างทางมีร้านรวงต่างๆมากมาย เราแวะทานอาหารกลางวันก่อนที่ร้านตามรูปค่ะ รสชาติดีเลย




ที่ปราสาท Himeji คนมหาศาลมากๆ (แต่กลับไม่เจอคนไทยเลย แปลกมาก) เนื่องจากวันที่ไป เป็นวันหลังจากที่ปราสาท Himeji เพิ่งเปิดให้เข้าชมแบบเต็มรูปแบบหลังจากปิดเพื่อปรับปรุงอยู่หลายปี (เป็นเหตุผลว่าทำไมปีที่แล้วถึงไม่ได้มาที่ Himeji ค่ะ เพราะตัวปราสาทมันยังปิดอยู่) แถมยังเป็นช่วงที่ซากุระบานพอดี 




เยอะขนาดถึงขั้นต้องมีการจำกัดคนเข้าชมปราสาทกันเลยทีเดียวค่ะ


ตัวปราสาทคือสวยมาก ขาวโอโม่มาก ไม่รู้ว่านานไปสีจะเปลี่ยนมั้ย 


การเข้าชมปราสาท อย่างที่บอกไปว่าแถวยาวมากๆๆๆ ค่อยๆทยอยเดินกันขึ้นไปเรื่อยๆ กว่าจะเดินขึ้นไปจนถึงตัวปราสาท ใช้เวลา 2 ชั่วโมงพอดี


วิวจากด้านบนปราสาทค่ะ 
ในตัวปราสาท ขอไม่สปอยนะคะ ไปเดินดูกันเองละกัน :P


หลังจากลงมาจากตัวปราสาทแล้ว เรากับเพื่อนก็เดินชมรอบๆอีกนิดหน่อย 
ตอนแรกวางแผนว่าจะไปที่ Kokoen Garden ด้วย แต่ด้วยความเพลียที่แผนผิดพลาดมาทั้งวัน เลยตัดสินใจกลับโอซาก้าดีกว่า (จริงๆ สวนนี่น่าไปมากนะคะ เป็นสวนที่สวยติด 1 ใน 3 ของญี่ปุ่นเลย)
ส่วน Kobe นี่ตัดทิ้งไปเลยค่ะ กว่าจะออกจากปราสาทก็เกือบๆ 5 โมงเย็นแล้ว
แถมในกลุ่มเรา ไม่มีใครทานเนื้อสักคน เลยข้าม Kobe กันไปแบบไม่คิดอะไรมาก

และแน่นอนว่าเมื่อกลับถึงโอซาก้า เราก็ไป Namba กันเลยค่ะ กินและช็อปคืองานของเรา
พี่ป้ายกูลิโกะมีการเปลี่ยนแปลงจากปีที่แล้วมาก ปีนี้เป็นไฟวิ่ง สวยงามมากค่ะ