28 กันยายน 2560

ตั๋วเครื่องบิน/กระเป๋าและสัมภาระ


ตั๋วเครื่องบิน

ตั๋วเครื่องบินเป็นอีกปัจจัยสำคัญมากๆ ทริปเราจะถูกหรือแพง ใช้เงินมากน้อย บางทีมันขึ้นอยู่กับค่าตั๋วเครื่องบินนี่แหละค่ะ

ปัจจัยในการเลือกสายการบินของแต่ละคนมีเยอะแยะมากมายแตกต่างกันไป เช่น Full service/Low cost, บินตรง/ต่อเครื่อง, สนามบิน(เมือง)ที่ต้องการไป, ราคาตั๋วเครื่องบิน/Promotion ต่างๆ


สำหรับเรา ส่วนตัวเราถ้าไปญี่ปุ่น เราไม่นิยมสายการบินที่ต้องต่อเครื่องค่ะ เหตุผลหลักคือขี้เกียจและไม่อยากเสียเวลาเดินทางเยอะ เพราะจะทำให้เหนื่อย อยากเก็บแรงไว้ไปเที่ยวเต็มๆ มากกว่า
เพราะฉะนั้น ระหว่างสายการบิน Full service ที่ต้องต่อเครื่อง กับ Low cost ที่บินตรง ถ้าราคารวมพอๆ กัน เราจะเลือกบินตรงกับ Low cost ในขณะที่บางคนอาจจะเลือกบิน Full service ค่ะ

ความแตกต่างของสายการบินแบบ  Full service กับ Low cost
หลักๆ ที่เราพอนึกออกก็คือ ราคาค่าตั๋วโดยสารของสายการบินแบบ Full service จะรวมทุกสิ่งอย่างมาให้แล้ว ทั้งน้ำหนักกระเป๋า อาหาร เครื่องดื่ม การเลือกที่นั่ง รวมทั้งอุปกรณ์อำนวยความสะดวกอื่นๆ เช่น ผ่าห่ม ก็จะมีมาให้พร้อมสรรพแล้ว และก็จะมีจอส่วนตัว สามารถดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกมส์ ได้ตามสะดวก
ส่วน Low cost นั้น ส่วนใหญ่จะไม่มีจอส่วนตัวให้ และพวกน้ำหนักกระเป๋า อาหารเครื่องดื่ม การเลือกที่นั่ง ผ้าห่ม เหล่านี้เป็นส่วนที่ต้องเสียเงินเพิ่มทั้งสิ้น ดังนั้นเวลาคำนวณราคาค่าโดยสารที่แท้จริงเพื่อเปรียบเทียบ อย่าลืมคำนวณส่วนนี้เข้าไปด้วยนะคะ

สายการบินที่บินตรงไปญี่ปุ่น (เท่าที่นึกออก)

เดินทางออกจาก สนามบินสุวรรณภูมิ (BKK)
การบินไทย (TG): Tokyo-Narita (NRT), Tokyo-Haneda (HND), Osaka (KIX), Nagoya (NGO), Fukuoka (FUK) และ Sapporo (CTS)
Japan Airlines (JAL)
All Nippon Airways (ANA)

เดินทางออกจาก สนามบินดอนเมือง (DMK)
Thai AirAsia X (XJ): Tokyo-Narita (NRT) และ Osaka (KIX)
NokScoot: Tokyo-Narita (NRT) และ Osaka (KIX)

การจองตั๋วเครื่องบินด้วยตนเองนั้น เราอาจทำได้เองโดยผ่านช่องทางโดยตรงของสายการบิน เช่น เว็บไซต์ โทรศัพท์ เค้าน์เตอร์ หรืออาจจองผ่านทาง agent ต่างๆก็ได้
ข้อควรรู้และข้อควรระวัง

1. เวลาในที่แสดงในการเลือกซื้อตั๋วเครื่องบินเป็น Local time
เพราะฉะนั้นอย่าแปลกใจถ้าเอา Departure time + เวลาที่ใช้ในการเดินทาง แล้วมันไม่เท่ากับ Arrival time 
เช่น ไฟล์ท BKK 09:45 -> HND 17:55 (6h 10m)
09:45 คือเวลาตามประเทศไทย + เวลาเดินทางไปอีก 6 ชั่วโมง 10 นาที = 15:55 (เวลาประเทศไทย) แต่ญี่ปุ่นเวลาเร็วกว่าประเทศไทย 2 ชั่วโมง ดังนั้นจึงเป็น 17:55 ค่ะ

2. การขึ้นเครื่องในเวลากลางคืน 
ถ้าขึ้นเครื่องตอนกลางคืน ดูเวลาดีๆ นะคะ คนพลาดกันมาเยอะแล้ว
ตัวอย่าง :
(1) เวลาขึ้นเครื่อง 00:20 วันที่ 1 มิถุนายน 2557 
(2) เวลาขึ้นเครื่อง 23:40 วันที่ 1 มิถุนายน 2557
กรณีที่ (1) เวลาขึ้นเครื่อง 00:20 วันที่ 1 มิถุนายน 2557 = เราต้องไปขึ้นเครื่องตอนคืนวันที่ 31 พฤษภาคม ถ้าไปวันที่ 1 ล่ะก็ตกเครื่อง!!!
แต่กรณีที่ (2) เวลาขึ้นเครื่อง 23:40 วันที่ 1 มิถุนายน 2557 = เราต้องไปขึ้นเครื่องตอนคืนวันที่ 1 มิถุนายน (เช้าวันที่ 2 มิถุนายน)

กระเป๋าและสัมภาระ 

นี่เป็นปัญหาโลกแตกสำหรับมือใหม่ในการขึ้นเครื่องบินอีกเรื่องนึง
สัมภาระที่จะนำขึ้นเครื่อง สัมภาระหรือกระเป๋าที่จะโหลดใต้ท้องเครื่อง น้ำหนักกระเป๋าได้เท่าไหร่ ของอะไรเอาไปได้บ้างไม่ได้บ้าง สารพัดคำถาม

เรื่องแรกที่จำเป็นต้องรู้ คือ สัมภาระในการขึ้นเครื่องบินทุกอย่าง ไม่ว่าจะนำขึ้นเครื่องหรือโหลดใต้ท้องเครื่องจะขึ้นอยู่กับนโยบายว่าด้วยสัมภาระของแต่ละสายการบินเป็นสำคัญ 
ซึ่งโดยทั่วไปก็จะคล้ายคลึงกัน อาจมีแตกต่างบ้างในรายละเอียดซึ่งจะพูดถึงต่อไปค่ะ
เพราะฉะนั้น เราเดินทางด้วยสายการบินไหน ก็ควรเช็คนโยบายว่าด้วยสัมภาระของสายการบินนั้นโดยละเอียดอีกครั้งหนึ่ง โดย website ของสายการบินมักจะแจ้งรายละเอียดตรงนี้อยู่แล้ว 

สัมภาระที่จะนำติดตัวขึ้นเครื่องบิน (Carry on)

โดยทั่วไปสัมภาระที่จะนำติดตัวขึ้นเครื่องบิน (Carry on) คือ กระเป๋าถือ 1 ใบ + กระเป๋า 1 ใบ
1. ขนาดของกระเป๋า
CR: AirAsia
ขนาดของกระเป๋าจะต้องไม่เกิน 56x36x23 cm. หรือ 22x14x9 นิ้ว (รวมล้อและหูจับกระเป๋าด้วย) ทั้งนี้เพื่อให้กระเป๋าสามารถใส่ในช่องเก็บสัมภาระเหนือที่นั่งผู้โดยสารบนเครื่องบินได้
ในบางสายการบิน ขนาดอาจไม่เท่านี้เป๊ะๆ แต่มักจะไม่ต่างกันมากค่ะ

ถ้าดูจากขนาดที่กำหนดแล้ว จะเห็นว่า กระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ที่สุดที่สามารถนำขึ้นเครื่องได้น่าจะคือกระเป๋าขนาดประมาณ 20”
ข้อควรรู้ : การวัดขนาดกระเป๋า วัดด้านที่ยาวที่สุดของกระเป๋า (เราแอบหลงวัดตามแนวทะเเยงแบบทีวีอยู่ตั้งนาน 555+)

ในส่วนของกระเป๋าถืออีกใบ แอร์เอเชียกำหนดขนาดที่ 30x40x10 cm. เพื่อให้เก็บไว้ใต้ที่นั่งด้านหน้าผู้โดยสารได้ ซึ่งขอสารภาพ เราก็เพิ่งทราบว่ากระเป๋าถือใบเล็กอีกใบมีขนาดกำหนดด้วย ความรู้ใหม่ของเราเลยค่ะ ปกติไม่เคยสนใจเลย
แต่โดยมากคงไม่มีใครตรวจค่ะ เอาเป็นว่าให้ขนาดยัดเข้าไปที่ใต้ที่นั่งได้เป็นพอแล้ว

2. น้ำหนักกระเป๋าไม่เกิน 7 kg.

ตรงนี้ มีข้อควรระวังนิดนึง โดยปกติ สายการบินอาจไม่ค่อยอะไรกับเรื่องนี้มาก โดยเฉพาะสายการบินแบบ full service ไฟล์ทญี่ปุ่น เรายังไม่เคยเห็นใครถูกจับให้ชั่งน้ำหนักกระเป๋าที่ถือขึ้นเครื่องเลย (แต่ถ้าไฟล์ทยุโรปนี่เหมือนจะมีค่ะ)
แต่สำหรับสายการบินแบบ low cost ที่การโหลดกระเป๋าต้องเสียเงินเพิ่ม บางคนอาจโดนสุ่มชั่งน้ำหนักหน้าเกทก่อนขึ้นเครื่องก็มี ซึ่งถ้าเกิน แน่นอนว่าจะต้องถูกชาร์จค่าน้ำหนักกระเป๋าเพิ่ม 
(เตือนไว้ก่อน เนื่องจากช่วงนี้ เห็นหลายคนที่ขึ้น AirAsia บอกว่า เริ่มมีการจับชั่งน้ำหนักกันจริงจังขึ้น)

3. สิ่งของบางอย่างห้ามนำขึ้นเครื่องโดยเด็ดขาด เช่น อาวุธ ของมีคม (เช่น มีดพับ กรรไกรตัดเล็บ) วัตถุไวไฟ ของอันตรายทั้งหลายห้ามเอาขึ้นเครื่องนะคะ

มีของบางอย่างที่บางครั้งก็งงๆว่าเอานำขึ้นเครื่องได้มั้ย เช่น ดาบของเล่น ร่ม 
พวกนี้ หลายคนอาจคิดว่าเอาขึ้นเครื่องได้ เพราะดูไม่ใช่ของอันตรายอะไร แต่ถ้าไม่แน่ใจ เช็คกับพนักงานเช็คอินเถอะค่ะ เพราะที่เราเคยเจอมา ดาบของเล่น กับ ร่มยาว การบินไทยให้โหลดค่ะ ไม่ให้เอาขึ้นเครื่องค่ะ ซึ่งเราก็ไม่แน่ใจว่าที่ไม่ให้เอาขึ้นเครื่องเพราะขนาดเกินกำหนดหรือเพราะมองว่าเป็นวัตถุอันตรายกันแน่

4. กลุ่มพวกของเหลว/เจล/สเปรย์

ของเหลว/เจล/สเปรย์ที่สามารถนำขึ้นเครื่องได้ ต้องอยู่ในภาชนะที่มีความจุไม่เกิน 100 ml. ต่อชิ้น (ดูที่ขนาดภาชนะนะจ้ะ ไม่ได้ดูที่ปริมาณที่เหลืออยู่) และรวมทั้งหมดทุกชิ้นไม่เกิน 1,000 ml. 
โดยต้องใส่รวมไว้ในถุงพลาสติกใสที่มีความจุไม่เกิน 1 ลิตร (ประมาณ 20x20 cm.) และสามารถปิดผนึกได้
Cr: AirAsia
ในส่วนนี้ มีหลายคนชอบจำว่า เอาของเหลวขึ้นเครื่องได้ 100 ml. ไม่เกิน 10 ชิ้น 
ซึ่งถ้าดูตามข้อกำหนด มันจะไม่ 10 ชิ้นเสมอไปนะคะ ถ้าของเหลวนั้นไม่ได้ขนาด 100 ml. เท่ากันทุกขวด
เช่น เราอาจจะมีของเหลว/เจล/สเปรย์ ขนาด 50 ml. 30 ml. 60 ml. หลายๆอันก็ได้ แต่รวมต้องไม่เกิน 1,000 ml. ไม่ใช่ไม่เกิน 10 ชิ้น

ถุงพลาสติกใสที่ใช้ใส่ของเหลว/เจล/สเปรย์ ถ้าไม่มีหรือนึกไม่ออก เราแนะนำถุงซิปล็อคเลยค่ะ  แบบเดียวกับที่ใช้เก็บผักผลไม้ในครัวนั่นแหละค่ะ ใช้ได้เหมือนกัน ช่วยกันไม่ให้ของเหลวหกเลอะเทอะกระเป๋าได้ในกรณีที่ปิดฝาไม่ดีด้วย

5. Power bank 

power bank ห้ามโหลดใต้เครื่องเด็ดขาด ไม่ว่าความจุเท่าไรก็ตาม 
แต่สำหรับความจุไม่เกิน 32,000 mAh สามารถเอาขึ้นเครื่องได้ (carry-on)
 ซึ่ง power bank ที่ใช้กันปกติก็คงไม่มีใครใช้เกินนี้หรอกเนอะ

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ที่ตัว Power bank จะต้องมีขนาดความจุระบุไว้อย่างชัดเจนด้วยนะคะ ในกรณีที่ไม่มีความจุระบุไว้ เจ้าหน้าที่อาจไม่อนุญาตให้นำขึ้นเครื่องได้
Cr.: Thai Airways


สัมภาระที่จะโหลดใต้เครื่อง

น้ำหนักและขนาดกระเป๋าที่จะสามารถโหลดได้ต้องดูตามกฎ/นโยบายของแต่ละสายการบินนะคะ

สำหรับสายการบินแบบ low cost การโหลดกระเป๋ามักเป็นตัวเลือกที่ต้องเสียเงินซื้อเพิ่ม การจะโหลดได้กี่กิโลจึงขึ้นอยู่กับว่าเราซื้อน้ำหนักไว้ที่เท่าไร

ส่วนสายการบินแบบ full service การโหลดกระเป๋านั้นจะรวมอยู่ในราคาตั๋วเครื่องบินที่เราจ่ายไปแล้ว ไม่ต้องจ่ายเพิ่ม (ถ้าไม่ได้โหลดเกินน้ำหนักที่สายการบินกำหนด)

ในส่วนนี้ที่ต้องระวัง คือ น้ำหนัก กับ จำนวนชิ้นของสัมภาระ
บางสายการบินอาจกำหนดน้ำหนักไม่เกิน X kg. แต่ไม่กำหนดจำนวนชิ้น (จำนวนกี่ชิ้นก็ได้) แต่บางสายการบินอาจกำหนดให้โหลดได้ X ชิ้น น้ำหนักชิ้นละไม่เกิน Y kg. เป็นต้น

ส่วนขนาดกระเป๋า maximum size ที่จะโหลดขึ้นเครื่องได้ ถ้าจำไม่ผิดจะอยู่ที่กระเป๋าขนาดประมาณ 30"
สำหรับการบินไทย ชั้น economy จำกัดน้ำหนักกระเป๋าอยู่ที่ 30 kg. โดยไม่จำกัดจำนวนชิ้น จะโหลดกี่ชิ้นก็ได้ แต่น้ำหนักรวมต้องไม่เกิน 30 kg.

ส่วน AirAsia การซื้อน้ำหนักกระเป๋าสามารถแชร์น้ำหนักกระเป๋าได้ใน booking เดียวกัน เช่น 
Booking no. AB1234 มีผู้โดยสาร คือ ก ข และ ค
ก. ซื้อน้ำหนัก 20 kg
ข. ซื้อน้ำหนัก 15 kg
เท่ากับว่า ก. ข. ค. สามารถโหลดกระเป๋าน้ำหนักรวมกันได้ไม่เกิน 35 kg
แต่ทั้งนี้ คนที่ซื้อน้ำหนักไว้จะต้องบินด้วย ห้าม no show นะคะ
กรณีข้างบน ถ้าในวันเดินทาง ก. เกิดไม่สามารถเดินทางได้ น้ำหนักกระเป๋าที่ ข. และ ค. จะโหลดได้คือ 15 kg เท่านั้น

<< Tips >>


ข้อพิจารณาในการเลือกซื้อกระเป๋าเดินทาง 

วัสดุ

กระเป๋าเดินทาง (กระเป๋าลาก) จะมีวัสดุหลักๆอยู่ 2 แบบ คือ แบบผ้า และ แบบ hard case

แบบผ้า มีข้อดีคือส่วนใหญ่น้ำหนักเฉลี่ยจะเบากว่าพวกที่เป็นแบบแข็ง (hard case) 
กระเป๋าเดินทางแบบผ้า
credit: samsonite.co.th
ส่วนแบบแข็ง (hard case) วัสดุที่นิยมนำมาทำกระเป๋าเดินทางกันก็จะมี ABS, Polycarbonate (PC) และ Polypropylene (PP) รวมถึงมีการนำมาผสมกัน เช่น PC ผสม ABS อะไรแบบนี้ค่ะ
รายละเอียดคุณสมบัติทางเคมีของแต่ละอย่าง เคยพยายามอ่านแล้ว แต่ก็ไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจนนัก เหมือนมีข้อดีข้อเสียกันคนละอย่าง และขึ้นอยู่กับเกรดและความหนาบางด้วย แต่พอจะสรุปๆได้ว่าให้เลือกเป็น PC หรือ PP จะดีกว่า

จากประสบการณ์ กระเป๋าเดินทางที่เรามีอยู่ ใบนึงเป็น PP 100% กับอีกใบเป็น PC ผสม ABS ถ้าเทียบสัมผัส 2 ใบนี้ แบบไม่อ้างอิงคุณสัมบัติทางเคมีใดๆทั้งสิ้น เรารู้สึกว่า PP ดูเหมือนจะยืดหยุ่นมากกว่าค่ะ มันไม่ได้แข็งไปซะเลยทีเดียวเหมือน PC ผสม ABS 


กระเป๋าเดินทางแบบแข็ง
credit: samsonite.co.th


ลักษณะภายในกระเป๋า
ถ้าเป็นกระเป๋าลากแบบผ้าส่วนใหญ่จะเป็นที่ใส่ของฝั่งเดียวค่ะ อีกฝั่งหนึ่ง (ซึ่งเป็นบานกระเป๋า) ก็จะเป็นช่องซิปให้เก็บของเล็กๆน้อยๆได้ ประมาณนี้ค่ะ 
credit: samsonite.co.th

ส่วนแบบ hard case จะเป็นแบบ 2 ฝั่ง แยกใส่ของได้ทั้งสองด้าน
แต่อาจต่างกันตรงด้านบน บางอันจะเป็นแค่แผ่นกั้น แต่บางอันจะเป็นช่องซิปแยกกันแบบเด็ดขาดไปเลย 

credit: www.facebook.com/jptravelstore

ส่วนตัว เราแนะนำแบบหลังค่ะ จะจัดของง่ายกว่า เพราะของจะไม่ร่วงมาอีกฝั่งเวลาปิดกระเป๋า 
ถ้าใครมีแบบแผ่นกั้นอยู่ แนะนำให้เอาไว้เก็บเสื้อโค้ทหรือของชิ้นใหญ่ๆหน่อย ไม่ควรใช้เก็บของกระจุกกระจิก หรือถ้าจะเก็บของจุกจิกเล็กๆน้อยๆ แนะนำให้ใส่ถุง/กระเป๋าจัดระเบียบแยกให้เรียบร้อยค่ะ เพราะถ้าใส่ของชิ้นเล็กๆ เวลาปิดของมันจะร่วงมาอีกฝั่ง ไม่อยู่กับที่

ขนาดกระเป๋า

credit: www.facebook.com/Caggioni

เราขอแยกเป็น 3 ขนาดค่ะ
ขนาดเล็ก >> cabin size กลุ่มที่สามารถ carry-on ขึ้นเครื่องได้ จะอยู่ที่ขนาดประมาณไม่เกิน 20”
ขนาดกลาง >> 24” - 26"
ขนาดใหญ่ >> 28” - 30"

ขนาดที่เราแนะนำว่าควรมีคือ 24”- 26” ค่ะ เพราะเป็นขนาดที่กำลังดี ไม่ใหญ่หรือเล็กเกินไป สามารถใส่ของสำหรับการไปท่องเที่ยวในช่วง 5-10 วันได้โอเค (เมื่อรวมถึงของที่ซื้อกลับด้วย) และเมื่อใส่ของเต็มแล้วอยู่ในน้ำหนักที่ผู้หญิงธรรมดายังสามารถรับผิดชอบตัวเองได้

น้ำหนักกระเป๋า
น้ำหนักของตัวกระเป๋า ควรเลือกให้เบาหน่อยค่ะ ถ้าหนักมาก มันจะไปกินที่น้ำหนักสัมภาระอย่างอื่นของเรา 
แทนที่ได้น้ำหนักกระเป๋า 30 kg จะใส่ของได้เยอะ แต่ปรากฏเฉพาะกระเป๋าหนักไปแล้ว 6-7 kg แบบนี้ก็ไม่ไหวค่ะ

สีสันและลวดลายของกระเป๋า
ตามใจชอบเลยค่ะ บางคนก็ชอบแบบเรียบๆ เพราะใช้ง่าย แต่บางคนก็ชอบสีเด่นๆค่ะ เพราะเวลาอยู่บนสายพานรับกระเป๋าจะหาได้ง่าย 
สำหรับคนชอบแบบเรียบๆ แต่อยากให้กระเป๋าสังเกตได้ง่ายขึ้นเวลาอยู่บนสายพานก็อาจเลือกใช้ผ้าคลุมกันรอยหรือสายรัดกระเป๋าเข้ามาเสริมได้ค่ะ หรือใครกระเป๋าสวย อยากโชว์กระเป๋า แต่กลัวกระเป๋าเป็นรอย เลือกเป็น pvc ใสคลุมกระเป๋าก็มีค่ะ


credit: www.facebook.com/Caggioni

และทางที่ดี อาจมี Tag ติดกระเป๋าสักหน่อยค่ะ ระบุชื่อและข้อมูลที่สามารถติดต่อได้ของเราเอง เผื่อมีคนหยิบผิดหรืออะไรแบบนี้ก็จะได้ตามหากันถูก และ tag ก็สามารถเป็นจุดสังเกตเวลารับกระเป๋าได้อีกทางด้วยค่ะ

ล้อ
ให้เลือกแบบ 4 ล้ออิสระ หมุนรอบทิศทางเท่านั้นค่ะ จะลากสบายกว่าแบบ 2 ล้อเยอะ สมดุลดีกว่ามากๆ ที่นิยมกันจะเป็นล้อของฮิโนโมโตะ 
และถ้าใครกังวลเรื่องเสียงลาก อาจต้องดูลึกลงไปอีกค่ะ ว่าล้อทำจากอะไร ยางหรือพลาสติกแบบไหน จะมีผลต่อเสียงเวลาลากในพื้นถนนหรือพื้นคอนกรีดค่ะ 


TSA lock
TSA เป็นหน่วยงานด้านความปลอดภัยในการเดินทางของประเทศสหรัฐอเมริกา (Transportation Security Administration) เป็นระบบกุญแจที่ทำให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของสนามบินสามารถเปิดเพื่อตรวจดูกระเป๋าเดินทางของเราได้โดยไม่ต้องทำอันตรายกระเป๋าเดินทางของเราค่ะ 
ที่บริเวณตัวล็อคของกระเป๋า สังเกตดูว่ามันจะมีช่องรูกุญแจเขียนว่า TSA อยู่

credit: samsonite.co.th

ก้านกระเป๋า
เราชอบเลือกก้านกระเป๋าแบบที่เป็นรูปตัว U คว่ำ (มีสองขา) มากกว่าแบบตัว T (ขาเดียว) ค่ะ รู้สึกว่ามันลากง่ายกว่า สมดุลกว่า ซึ่งเท่าที่เห็นส่วนใหญ่ก้านกระเป๋าก็นิยมทำเป็นตัว U มากกว่า T อยู่แล้วค่ะ


ก้านแบบตัว T
credit: samsonite.co.th

ปกติดูก็จะมีประมาณนี้ค่ะ 

นอกจากนี้ก็อาจดูยี่ห้อและการรับประกันกระเป๋าประกอบสักหน่อยก็ได้ ก็เลือกเอากันตามแบบที่ชอบเลยค่ะ

การเลือกที่นั่ง

เลือกตามความชอบเลยค่ะ 
ใครรู้ตัวว่าเป็นคนเข้าห้องน้ำบ่อย ควรเลือกที่นั่งติดทางเดิน 
ส่วนถ้าใครชอบดูวิว ก็เลือกที่นั่งติดริมหน้าต่าง 

ถ้าอยากเห็นภูเขาไฟฟูจิ
ขาไป กรุงเทพฯ-โตเกียว ให้นั่งฝั่งซ้ายติดริมหน้าต่าง 
ขากลับ โตเกียว-กรุงเทพฯ ให้นั่งฝั่งขวาติดริมหน้าต่าง
ส่วนถ้าไปโอซาก้าหรือฟุกุโอกะ ยังไงก็ไม่ผ่านภูเขาไฟฟูจิอยู่แล้วค่าาา 
ทั้งนี้ การจะได้เห็นภูเขาไฟฟูจิหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับดวงล้วนๆค่ะ ว่าวันนั้นสภาพอากาศเป็นยังไง กัปตันพาบินในเส้นทางไหน บางคนอาจเห็นไกลๆ บางคนก็เห็นใกล้มากกก หรือบางคนอาจไม่เห็นเลยก็เป็นได้

Website ที่อยากจะแนะนำ คือ http://www.seatguru.com/


27 กันยายน 2560

Passport/Visa/Immigration

Passport

ไปต่างประเทศ ต้องมีหนังสือเดินทาง (Passport) ก่อนนะคะ ใครยังไม่มี ไปทำก่อนเลยค่า

สำหรับเอกสาร ขั้นตอน และสถานที่ทำพาสปอร์ต ดูใน << เว็บกรมการกงสุล >> ได้เลยค่ะ จะได้ข้อมูลที่อัพเดทที่สุด และที่สำคัญคือเว็บกรมการกงสุลทำเอกสารและขั้นตอนไว้ละเอียดมาก อ่านให้จบ ครบทุกหน้า แทบไม่ต้องถามเพิ่มเลย

ปัจจุบัน นอกจากการทำพาสปอร์ตแบบปกติแล้ว กรมการกงสุลได้มีการเปิดให้ทำพาสปอร์ตแบบเร่งด่วน สามารถรับเล่มได้อย่างเร็วที่สุดภายในวันทำการเดียว รายละเอียดอยู่ตาม link ของเว็บกรมการกงสุลเลยค่ะ แต่ระลึกไว้ว่ายิ่งด่วนเท่าไหร่ ค่าธรรมเนียมก็ยิ่งแพงขึ้นเท่านั้นนะคะ ทางที่ดี เตรียมตัวแต่เนิ่นๆดีกว่าเนอะ

อีกคำถามที่พบบ่อย (มาก) คือ การทำพาสปอร์ตในวันเสาร์
ณ ตอน(ที่เขียน blog)นี้ ไม่สามารถทำพาสปอร์ตในวันเสาร์-อาทิตย์ได้นะคะ ต้องไปตามเวลาทำการปกติเท่านั้น
ในกรณีที่จะเปิดให้ทำวันเสาร์ ทางกรมการกงสุลจะมีประกาศแจ้งออกมาว่าทำได้ที่ไหนบ้าง และจะกำหนดเป็นช่วงระยะเวลาที่แน่นอนว่าอนุญาตให้ทำวันเสาร์ได้ตั้งแต่วันที่เท่าไหร่ถึงเท่าไหร่ค่ะ 

อย่างไรก็ตาม จากประสบการณ์ทั้งของเราเองและเพื่อนๆ การทำพาสปอร์ตใช้เวลาไม่นานเลยค่ะ เร็วที่สุดในการติดต่อราชการที่ผ่านมาในชีวิตแล้ว ลางานครึ่งวัน ไปทำพาสปอร์ตวันธรรมดาก็ยังสบายๆเลยค่ะ

Visa

ปัจจุบันญี่ปุ่นได้ประกาศยกเว้นวีซ่าเข้าประเทศญี่ปุ่นให้กับคนไทยที่มีวัตถุประสงค์เพื่อการพำนักระยะสั้นในประเทศญี่ปุ่น โดยให้พำนักได้ไม่เกิน 15 วัน

คำว่า “พำนักระยะสั้น” หมายถึง เพื่อการท่องเที่ยว เยี่ยมญาติ เข้าประชุม สัมมนา หรือติดต่องานรวมถึงกิจกรรมระยะสั้นที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งไม่ใช่การดำเนินธุรกิจที่ก่อให้เกิดรายได้ และกิจกรรมที่มีค่าตอบแทน


คำถามที่พบบ่อย


Q: อยู่ได้ไม่เกิน 15 วัน - - - 15 วันนับยังไง ?
A: วิธีการนับวัน 15 วัน
วันที่เดินทางถึงประเทศญี่ปุ่น + 15 วัน = วันที่อนุมัติให้อยู่ในประเทศญี่ปุ่นวันสุดท้าย 


พูดง่ายๆ คือ 15 วัน ไม่นับวันแรกค่ะ
ตัวอย่าง : เดินทางถึงประเทศญี่ปุ่นวันที่ 1
วันที่ 1 + 15 วัน = วันที่ 16 
(นับวันที่ 2 เป็น 1, วันที่ 3 เป็น 2 ... วันที่ 16 เป็น 15)
ดังนั้น วันที่อนุมัติให้อยู่ญี่ปุ่นวันสุดท้าย คือ วันที่ 16 จนถึงเวลา 23.59 น.
Immigration

สำหรับคนที่ไปเที่ยวและอยู่ไม่เกิน 15 วัน ไม่ต้องทำ visa มี passport เล่มเดียวก็ไปได้เลย
แต่สำหรับขั้นตอนการเข้าเมือง เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ของญี่ปุ่นอาจจะขอตรวจเอกสารบางอย่างดูเพื่อยืนยันว่าเราไปเที่ยวจริงๆ

เอกสารที่ควรจะเตรียมไป ได้แก่ ตั๋วเครื่องบินขาออกจากประเทศญี่ปุ่น (รวมถึงตั๋วอิเล็กทรอนิกส์ e-ticket) สิ่งที่ยืนยันว่าเราสามารถรับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการพำนักในประเทศญี่ปุ่น (เช่น เงินสด บัตรเครดิต เป็นต้น) ชื่อ ที่อยู่ และหมายเลขโทรศัพท์ที่ติดต่อได้ระหว่างที่พำนักในประเทศญี่ปุ่น (เช่น คนรู้จัก โรงแรม และอื่นๆ)
การกรอกแบบฟอร์มเข้าเมืองและศุลกากร 

โดยปกติแบบฟอร์มเข้าเมือง (ใบ ตม.) และใบศุลกากร แอร์โฮสเตสจะแจกให้เราตอนอยู่บนเครื่องบินค่ะ รับมาแล้ว เขียนเลยก็ดีนะคะ จะได้ไม่ต้องไปฉุกละหุกตอนจะเข้า ตม. แต่ถ้ายังไม่ได้เขียนหรือทำใบที่แอร์แจกหาย ด้านหน้า ตม. จะมีใบนี้อยู่อีกค่ะ ไปหยิบใหม่ตรงนั้นได้ 

ตัวฟอร์มเข้าเมือง เขียนคนละใบ ต่างคนต่างเขียน ของใครของมัน
ส่วนฟอร์มของศุลกากร เขียนกรุ๊ปละหนึ่งใบ เช่น ถ้าไปเป็นครอบครัว 5 คน ก็เขียน 1 ใบ หรือถ้าไปกับเพื่อน 2 คน ก็เขียน 1 ใบได้ค่ะ

การกรอกข้อความให้เขียนด้วยปากกาน้ำเงินหรือดำนะคะ 
(เราเคยเจอคนกรอกด้วยปากกาสีแดงแล้วโดนเจ้าหน้าที่ให้ไปเขียนใหม่ค่ะ)

รายละเอียดการกรอกแบบฟอร์มเข้าเมืองและศุลกากรปัจจุบัน (update 2017) >> http://www.emagtravel.com/archive/japan-immigration-card.html

ขั้นตอนการเข้าประเทศญี่ปุ่น

สำหรับคนที่เดินทางไปต่างประเทศครั้งแรก ขั้นตอนคร่าวๆจะเป็นแบบนี้ค่ะ
-> ผ่านพิธีการออกนอกประเทศไทย 
-> ขณะอยู่บนเครื่อง แอร์ฯจะแจกฟอร์มเข้าเมืองและศุลกากรให้ เรามีหน้าที่ต้องกรอกข้อมูลให้เรียบร้อย 
-> เมื่อลงจากเครื่อง ให้เดินไปที่ ตม. เพื่อผ่านขั้นตอนตรวจคนเข้าเมือง ในขั้นตอนนี้ เจ้าหน้าที่อาจขอดูเอกสารเพิ่มเติมเพื่อยืนยันว่าเรามาเที่ยวจริงๆ ซึ่งจากประสบการณ์ในการเดินทางของเรา ถ้ากรอกฟอร์มเข้าเมืองครบถ้วน ตม. ไม่เคยถามอะไรเลยค่ะ 
-> ไปรับกระเป๋าที่สายพาน 
-> ผ่านขั้นตอนศุลกากร ...ตรงนี้แหละค่ะ คนที่ชอบถาม แต่ก็จะถามคำถามทั่วๆไป เช่น มาทำอะไร มากี่วัน จะไปเที่ยวที่ไหนบ้าง และบางครั้งอาจมีการขอตรวจดูกระเป๋านิดหน่อย
-> เข้าสู่ประเทศญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการค่ะ

ข้อควรรู้

<< Six Months Validity Rule >>
หลายคนน่าจะเคยได้ยินว่าการเดินทางไปต่างประเทศ อายุ Passport ควรเหลืออย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 6 เดือน ซึ่งจริงๆ แล้ว อายุ Passport จะต้องเหลืออยู่อย่างน้อยเท่าไหร่จะเป็นไปตามที่ประเทศนั้นๆ กำหนด ซึ่งไม่จำเป็นต้องเหลืออย่างน้อย 6 เดือนก็ได้ 
แต่ที่บอกให้เหลืออย่างน้อย 6 เดือน เป็นอะไรที่เซฟสุดค่ะ ถ้าไปกับทัวร์ ส่วนใหญ่ทัวร์จะขอให้ Passport ต้องมีอายุเหลืออย่างน้อย 6 เดือน
สำหรับประเทศญี่ปุ่น ที่เราหาเจอคือ Passport ต้องไม่หมดอายุ (อ้างอิงตามกระทู้  << ข้อมูลการถือ Passport ไทยไปประเทศต่างๆครับ (Asia) >>) 
แต่อย่างไรก็ตาม เพื่อความแน่นอน ยังแนะนำให้มีอายุ 6 เดือนอย่างน้อยค่ะ เพราะบางครั้งอาจไม่ได้มีปัญหาตอนเข้าญี่ปุ่น แต่จะมีปัญหาตั้งแต่ตอนออกจากประเทศไทยนี่แหละค่ะ 

<< Tips >>
ควรทำสำเนาพวกเอกสารสำคัญ เช่น Passport บัตรประชาชน ทะเบียนบ้าน ไว้ติดตัว และ/หรือ สแกนเป็นไฟล์เข้าไปใน e-mail / online drive (เช่น iCloud, google drive, one drive, dropbox) ของเราไว้ด้วย 
รวมถึงควรหาที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ หรือวิธีการติดต่ออื่นๆ ของสถานทูตหรือสถานกงสุลไทยในประเทศ/เมืองที่เราจะไปเก็บเอาไว้เผื่อกรณีฉุกเฉิน

07 พฤษภาคม 2560

เที่ยวญี่ปุ่นแบบครึ่งทัวร์ครึ่งแบ็คแพ็ค ทัวร์หรือไปเอง แบบไหนดีกว่ากัน

การเดินทางมาญี่ปุ่นในครั้งนี้ (ปี 2016) เป็นการเดินทางมาญี่ปุ่นกับทัวร์อีกครั้งหลังช่วงก่อนหน้านี้เราได้มาเที่ยวญี่ปุ่นเองกับเพื่อน 2 ปีติดกัน (ปี 2014 - 2015) 
และครั้งนี้ แม้จะมากับทัวร์ แต่เราได้ขอเลื่อนตั๋วกลับไปอีก 3 วัน เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มอีกนิดหน่อยค่ะ (จริงๆ อยากอยู่ต่อมากกว่านี้ แต่ทางทัวร์ปฏิเสธ เนื่องจากมีเงื่อนไขการออกตั๋วอยู่) 
ทั้งนี้ เราไม่สามารถยืนยันได้นะคะว่าการเลื่อนตั๋วกลับแบบนี้สามารถทำได้เสมอรึเปล่าหรือมีค่าใช้จ่ายอย่างไรนะคะ

ทัวร์นี้เป็นทัวร์แบบ 6 วัน 3 คืน 
เดินทางโดยสายการบินไทย สนามบินสุวรรณภูมิ กรุงเทพฯ - สนามนาริตะ โตเกียว
วันที่ 1 ออกเดินทางจากประเทศไทย
วันที่ 2 เดินทางถึงญี่ปุ่น และเริ่มเที่ยวตามโปรแกรม 
วันที่ 3 เที่ยวตามโปรแกรม
วันที่ 4 เที่ยวตามโปรแกรม
วันที่ 5 เที่ยวตามโปรแกรม และเดินทางกลับประเทศไทย
วันที่ 6 เดินทางถึงประเทศไทย
พูดง่ายๆ มีวันเที่ยวจริงๆ 4 วันเท่านั้นค่ะ (การใส่มาเป็น 6 วันนี่การตลาดล้วนๆ)

ถ้าเป็นการมาเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเอง เวลาเพียง 4 วัน เราคงเที่ยวแค่ในโตเกียวอย่างเดียว หรืออย่างมากก็คงออกนอกโตเกียวไปเมืองใกล้เคียงสัก 1 ที่ เพราะ 4 วัน แค่ในโตเกียวอย่างเดียวก็แทบเที่ยวไม่พออยู่แล้ว
แต่การมากับทัวร์นั้น โปรแกรมทัวร์จะพยายามจัดให้เราไปสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆของญี่ปุ่นให้มากที่สุด ทั้งไปจังหวัดอิบารากิ นิกโก้ วนกลับมาที่คาวากุจิโกะ แล้วถึงค่อยเข้าโตเกียว

ในช่วงเที่ยว 4 วันแรกซึ่งเป็นช่วงที่อยู่กับกรุ๊ปทัวร์ เราเลยจะไม่รู้รายละเอียดเรื่องการเดินทางใดๆเลยค่ะ (เอาจริงๆเที่ยวที่ไหนบ้าง เราเพิ่งมาอ่านจริงจังตอนอยู่หน้าเกทก่อนขึ้นเครื่องเอง) แต่จะขอพูดถึงเพียงบางสถานที่ที่ไปมาแล้วรู้สึกว่ามีประเด็นน่าสนใจ (นี่ไม่ใช่ทั้งหมดที่ไปมา ที่ไปมามีมากกว่านี้ แต่อาจไม่น่าสนใจเท่าไหร่ในความคิดของเราค่ะ)

Hitachi Seaside Park


Image credits: Teerayut Hiruntaraporn
Hitachi Seaside Park อยู่ในจังหวัดอิบารากิ ซึ่งอยู่ห่างจากโตเกียวไปอีกประมาณ​120 km เป็นสถานที่เที่ยวสถานที่แรกตามโปรแกรมทัวร์เลยค่ะ พูดง่ายๆ พอลงจากเครื่องบิน ก็ขึ้นรถบัสนั่งกันยาวๆ มาที่สวนแห่งนี้เลยค่ะ
เจ้าสวนนี้ เป็นหนึ่งในสถานที่ที่เราอยากมามากตอนที่มาเที่ยวญี่ปุ่นเมื่อเดือนพฤษภาคม 2014 (ทริปชมกุหลาบของเรากับเพื่อนนั่นเองค่ะ) เพราะมันเป็นที่ที่มีดอกเนโมฟีล่า (Nemophila) สีฟ้าบานสะพรั่ง สวยงามตามรูปด้านบนนี่แหละ แต่ครั้งนั้นไม่ได้เดินทางไป เพราะสถานที่ตั้งของมันค่อนข้างออกนอกเส้นทางการเที่ยวของเราไปพอสมควร
ครั้งนี้ ตอนเห็นภาพดอกเนโมฟีล่าในแผ่นกำหนดการที่ทางทัวร์แจก เราเลยดีใจสุดๆ จะได้มาสมใจอยากซะที 
แต่....... 
.....
....
...
แต่เราดันลืมคิดไปว่านี่คือเดือนมีนาคม!!

ดอกเนโมฟีล่ายังไม่บานค่ะ (ToT) 
ปกติดอกเนโมฟีล่าจะบานช่วงปลายเดือนเมษายนจนถึงประมาณพฤษภาคม (ซึ่งเป็นช่วงที่เรามาเที่ยวญี่ปุ่นตอนปี 2014)
อาเมน เราลืมนึกไปซะสนิทเลย พอเห็นรูปในโปรแกรมทัวร์ก็มัวแต่ดีใจ โดนรูปภาพหลอก กระซิกๆ --- นี่เป็นข้อควรระวังข้อที่ 1 "อย่าโดนรูปภาพหลอก

ตามปกติแล้ว บริษัททัวร์ย่อมเลือกภาพที่ดีที่สุดหรือสวยที่สุดของสถานที่ท่องเที่ยวมาใส่ไว้ในโปรแกรมทัวร์ เช่น สวน Hitachi Seaside Park นี้เป็นต้น หรือ เช่น ภาพภูเขาฟูจิ ปกติทางทัวร์ก็จะเลือกภาพที่เห็นภูเขาไฟฟูจิในมุมที่สวยและชัดที่สุดมา เพื่อเป็นการบอกว่าเราจะไปภูเขาไฟฟูจินะ แต่ไม่ได้เป็นการบอกหรือการันตีว่าเราจะได้เห็นภูเขาไฟฟูจิในมุมนั้น หรือในรูปลักษณ์แบบนั้น (ปกติ ทัวร์จะใส่รูปภูเขาไฟฟูจิตอนที่มีหิมะปกคลุมบนยอดเสมอ (หรือที่เราเรียกกันว่า ฟูจิใส่หมวก นั่นเอง) ซึ่งจริงๆ ถ้าเป็นการไปในช่วงฤดูร้อน หิมะบนยอดภูเขาไฟฟูจิจะละลายแล้ว ก็จะเหลือเป็นฟูจิซังโล้นๆ ไม่ได้ใส่หมวกแล้ว)

แต่ถึงเจ้าดอกเนโมฟีล่าสีฟ้าที่เราอยากชมนักหนาจะยังไม่บาน แต่สวน Hitachi Seaside Park ก็จะมีดอกไม้ชนิดอื่นๆบานสลับกันไปตลอดทั้งปีนะคะ
และดอกไม้ที่เป็นไฮไลท์ของ Hitachi Seaside Park ในช่วงที่เราไปนี้คือ ดอกนาร์ซิสซัส (Narcissus) สีเหลืองแบบนี้ค่ะ

ศาลเจ้าโทโชกุ



ศาลเจ้าโทโชกุ ตั้งอยู่ที่ Nikko ค่ะ เป็นศาลเจ้าที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานแก่โชกุนโทคุกาวะ อิเอยาสึ (ถ้าใครพอรู้ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นบ้างต้องรู้จักคนๆนี้อย่างแน่นอน เพราะเค้าเป็นคนดัง ตระกูลโทคุกาวะนี่เป็นตระกูลไดเมียวอันดับหนึ่งของญี่ปุ่นเลยค่ะ  หรือถ้าใครที่เสพหนังหรือการ์ตูนญี่ปุ่นเยอะๆแบบเราก็ต้องเคยผ่านตาชื่อนี้มาบ้าง)
ตอนแรกเราค่อนข้างเฉยๆกับการมาที่นี่มาก (ในใจคิดว่า...ก็ศาลเจ้าอ่ะ) 
แต่ในช่วงวันนั้นเอง หิมะตกค่ะ 
เฮ้ยยยย นี่ปลายมีนาจะเข้าเมษาอยู่แล้วนะ หิมะตกเป็นละอองๆ อากาศหนาวมาก เราไม่คิดไม่ฝันเลยว่าทริปนี้จะเจอหิมะ แต่ก็เจอซะงั้น 
พอหิมะตกปุ๊บกลายเป็นว่าสวยมากกกกกกกกกก
สวยตั้งแต่ทางเข้าที่เป็นต้นสนขนาดใหญ่ เรื่อยมาจนถึงด้านในเลยค่ะ ได้บรรยากาศมากๆ

แต่ด้วยสภาพอากาศที่แปรปรวน มีหิมะตกหนักในบางพื้นที่ ทำให้โปรแกรมทัวร์เกิดการเปลี่ยนแปลงเนื่องจากสถานที่บางแห่งนั้นไม่สามารถเข้าไปได้ --- ข้อควรระวังข้อที่ 2 "อย่าคาดหวังว่าจะได้เที่ยวทุกที่ตามโปรแกรมเป๊ะๆ"

Edo Wonderland



นี่เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่เคยอยากไปค่ะ 
Edo Wonderland เป็นการจำลองเมืองในยุคเอโดะขึ้นมา  
ภายในจะมีทั้งการแสดง กิจกรรม และร้านค้ามากมายเลยค่ะ 
เรามีเวลาให้กับที่นี่ครึ่งวันเช้า ซึ่งถือว่าเยอะถ้าเทียบกับที่อื่นที่มีเวลาให้ประมาณ 30 - 45 นาที แต่เนื่องจากการแสดงแต่ละอย่างมันต้องใช้เวลา และพื้นที่ที่นี่ก็ค่อนข้างกว้าง เลยกลายเป็นว่าเราเที่ยวไม่ทั่วค่ะ ต้องเลือกให้ดีว่าอยากไปชมอะไรหรือไปเข้าร่วมกิจกรรมตรงไหนยังไงบ้าง

และสถานที่ที่เราอยากแนะนำ คือ บ้านนินจาลวงตา 
เจ้าบ้านหลังนี้ ใครไม่เข้าไปจะไม่มีทางรู้เลยว่ามันไม่ธรรมดาจริงๆ
ดูภายในอาจเป็นเหมือนบ้านเอียงๆหลังหนึ่ง ไม่น่ามีอะไร แต่พอเข้าไปข้างในแล้ว เรารู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาล มึนหัวมาก จะเดินไปแต่ละย่างก้าวช่างยากลำบาก แทบต้องคลานต้องเกาะราวสาวผนังไปเลยทีเดียว
ตอนไป เราเดินเข้าไปคนแรก มีอาการอย่างที่เล่าไปค่ะ คนอื่นหาว่าเราเว่อร์
แต่พอได้เข้าไปเท่านั้นแหละ ทุกคนก็บอกว่า เข้าใจความรู้สึกของเราแล้ว 555+
ถ้าใครได้ไปที่นี่ เราแนะนำให้ไปค่ะ สนุกดี (แต่อย่าไปขณะอิ่มใหม่ๆเด็ดขาด)

ภูเขาไฟฟูจิ

แน่นอนว่าหากพูดถึงภูเขาไฟฟูจิ จุดยอดฮิตของทุกทัวร์ คือ ภูเขาไฟฟูจิชั้น 5  
ไอ้เจ้าชั้น 5 ของภูเขาไฟฟูจินี่ เราสงสัยมาตลอดเลยว่ามันมีอะไร และไม่เข้าใจเลยว่าจะขึ้นไปทำไม....

สำหรับเราแล้ว จุดที่สวยที่สุดของฟูจิซังที่คาวากุจิโกะ อยู่ที่ด้านล่างที่สามารถเห็นภูเขาไฟฟูจิได้เต็มรูปแบบ อย่างเช่น บริเวณริมทะเลสาบคาวากุจิโกะนั่นแหละค่ะ ไม่ต้องดั้นด้นขึ้นไปไหนหรอก 
ยิ่งขึ้นไปข้างบน ยิ่งจะไม่เห็นอะไรนะคะ แถมต้องไปลุ้นเอากับสภาพอากาศอีกว่าจะสามารถขึ้นไปได้มั้ย

วันที่เราไป ขึ้นแค่ถึงแค่ชั้น 1-2 ค่ะ ซึ่งด้วยสภาพของสถานที่และจำนวนคนมหาศาล (ทัวร์ทุกชาติมารวมกันอยู่ที่นี่ค่ะ) เราไม่รู้จะถ่ายรูปยังไงให้สวยจริงๆ

ภาพต่อไปนี้เป็นอีกจุดที่ทางทัวร์พาไปถ่ายรูปค่ะ เป็นศูนย์บริการก่อนขึ้นด้านบนของภูเขาไฟฟูจิค่ะ



อืมมมมมมม รู้สึกยังไงกันบ้างคะ......

ลองมาเทียบกับภาพนี้ดูค่ะ ภาพนี้เป็นภาพภูเขาไฟฟูจิจากริมทะเลสาบคาวากุจิโกะของเราเมื่อทริปที่แล้ว
เทียบกันดูเองแล้วกันค่ะ ว่าอยากได้แบบไหนมากกว่ากัน



เพราะฉะนั้น ระลึกอยู่เสมอว่า จุดที่ฮิตที่สุดที่ทัวร์พาไปอาจไม่ใช่จุดที่ดีที่สุดหรือสวยที่สุดสำหรับเราค่ะ

โอชิโนะฮัคไค หรือ หมู่บ้านน้ำใส 



หมู่บ้านน้ำใส หรือ Oshino Hokkai แห่งนี้ เล่ากันว่าน้ำจากหมู่บ้านนี้เป็นน้ำที่มาจากการละลายของหิมะบนยอดเขาฟูจิค่ะ ซึ่งสมชื่อค่ะ น้ำใสมากจริงๆ
บรรยากาศบริเวณหมู่บ้าน ถ้าตัดเรื่องจำนวนคนจำนวนมากและห้องน้ำที่ค่อนข้าง...ออกไปแล้ว ก็นับว่าน่าสนใจค่ะ ได้บรรยากาศดี และถ้าในวันที่ฟ้าเปิด อากาศดีๆ เราก็จะสามารถมองเห็นภูเขาไฟฟูจิจากที่นี่ได้ด้วยค่ะ

มาถึงที่นี่ เราต้องไปบ่อน้ำตรงกลางหมู่บ้าน (ที่เค้าว่ากันว่าน้ำใสมาก) เจ้าบ่อนี้ลึกมากค่ะ 



และด้วยความที่น้ำในบ่อมันใสมากจริงๆ สิ่งที่เรียกร้องความสนใจจากเราได้เลยเป็นของในบ่อค่ะ นอกจากน้องปลาที่แหวกว่ายอยู่แล้ว มีทั้งเงิน ไอโฟน กล่องถ่ายรูป แว่นเรย์แบน และอื่นๆอีกมากมาย (รวมมูลค่านี่น่าจะได้ตั๋วเครื่องบินไปกลับกรุงเทพโตเกียวอีกเที่ยวนึงเลย) --- ดังนั้น ข้อควรระวังในการมาเที่ยวที่นี่คือ ระวังสิ่งของตกลงไปในบ่อค่ะ บ่อลึกมาก ไม่มีคนเก็บให้นะคะ :P

วัดเซนโซจิหรือวัดอาซากุสะ



มาโตเกียว ถ้าไม่ได้มาที่นี่เหมือนมาไม่ถึงเลยค่ะ เป็นไฮไลท์ที่ทุกทัวร์ต้องจัดมา
วัดอาซากุสะหรือวัดเซนโซจิ (Sensoji) มีจุดเด่นอยู่ที่โคมไฟสีแดงขนาดใหญ่บริเวณด้านหน้าวัด เป็นจุดแรกที่ทุกคนต้องไปแชะภาพเก็บไว้ 
จากนั้นเราก็ต้องฝ่าฟันกับผู้คนและร้านค้ารอบข้าง เพื่อเข้าไปยังตัววัด (คนไทยจำนวนมากตกหล่นอยู่ตามร้านค้าเหล่านี้ค่ะ 555+)
เมื่อไปถึงด้านหน้าวด สเต็ปทั่วไปคือ ต้องไปล้างมือล้างปาก -> จุดธูป -> ควักควันธูปเข้าตัว -> แชะภาพกับตัววัด -> โยนเหรียญขอพร -> เข้าไปชมด้านใน -> และอาจแถมด้วยการเสี่ยงเซียมซีและซื้อเครื่องรางนำโชค

เรามีโอกาสมาที่นี่หลายครั้งแล้วค่ะ (เรียกว่ามาทุกรอบที่มาโตเกียวเลยก็ว่าได้) ทั้งแบบมาเอง และแบบ(ถูกบังคับ)มากับทัวร์
ครั้งที่มาเองนั้น เราใช้เวลากับที่นี่นานมาก ตั้งแต่ถ่ายรูปกับโคมแดงด้านหน้าประมานสามร้อยช็อต เดินดูร้านค้าต่างๆ ซื้อธูปไปปัก ควักควันเข้าตัว ไปโยนเหรียญขอพร แล้วเลยไปเสี่ยงเซียมซี แวะดูเครื่องรางสิ่งบูชาทั้งหลาย เดินชมรอบๆวัด ข้ามไปไหว้ศาลเจ้าที่อยู่ข้างๆวัด แล้ววกออกมาตามหาของอร่อยบริเวณรอบๆวัด
แต่ในครั้งนี้ ทัวร์ให้เวลากับที่นี่ 45 นาที !!!!!
45 นาทีนี่ แค่เดินไปโยนเหรียญขอพร ถ่ายรูปพอเป็นพิธี เดินฝ่าฝูงชนไปถ่ายรูปกับโคมแดง เดินกลับมาที่จุดนัดพบ ก็หมดเวลาแล้วค่ะ
รีบกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว

เอ๊ะ หรือมี?

พูดถึงเรื่องเวลาและความเร่งรีบแล้ว อีกจุดนึงที่ไม่พูดถึงไม่ได้ คือ ภารกิจสำคัญของการไปเที่ยวญี่ปุ่น
อะไรเหรอคะ?
ช็อปปิ้งไงค่ะ!
การไปเที่ยวญี่ปุ่นกับทัวร์นั้น สถานที่แต่ละแห่ง เราจะถูกจำกัดเวลาเสมอ 
การช็อปปิ้งก็เช่นกัน....

อย่างที่เรารู้กัน ย่านช็อปปิ้งของโตเกียวนั้นมีหลายย่าน แต่ย่านฮิตของทัวร์ หนีไม่พ้นที่ Shinjuku ชินจูกุ
ชินจูกุเป็นย่านช็อปปิ้งที่ยิ่งใหญ่มาก เดินทั้งวันยังไม่ทั่ว 
แต่เรามีเวลาเดินและเวลาช็อปปิ้งทั้งหมด 2 ชั่วโมง
กรี๊ดดดดดดด แกรรรรรร แค่เดินหาร้านที่จะซื้อก็หมดเวลาแล้วมั้ง 5555+
ตอนช็อปอยู่นั้น เรามีเสียงดังอยู่ในหัวตลอดเวลา "ทำให้ดี ทำให้ไว ถ้าทำได้ให้ล้านนึง" (บอกอายุสุดๆ)
แต่งานนี้ไม่มีคนให้เงินล้านเราแน่ๆ แต่ต้องทำให้ดี ทำให้ไวที่สุด เป็นการช็อปที่เหนื่อยมากสำหรับเราค่ะ 5555+

เร่งมาก จะเร่งไปไหนนนนนน สาย chill และ slow life อย่างเราไม่สันทัดจริงๆค่ะ
เราจะเจอคำว่าอีก 45 นาที เจอกัน อีก 20 นาทีเจอกัน ตลอดเวลา 
แล้วการไปกับทัวร์นั้น เราทุกคน ลูกทัวร์ทุกคนควรต้องรักษาเวลาให้ดีค่ะ ถ้าเราสายหรือช้า มันจะกระทบกับคนทั้งกรุ๊ป ไม่ใช่แค่เราคนเดียว
เพราะฉะนั้น นอกจากเวลามีน้อยแล้ว เราก็ยังกังวลกับเวลาอีก ทำให้บางครั้งเราไม่สามารถใช้เวลาดื่มด่ำกับบรรยากาศหรือเดินชมสถานที่ท่องเที่ยวแต่ละสถานที่ให้ได้อย่างเต็มที่

นี่เป็นข้อเสียสำคัญของการไปเที่ยวกับทัวร์เลย "ความเร่งรีบ" คำนี้มีอยู่จริง

แต่ข้อดีก็คือ ถ้าเราสนใจฟังที่ไกด์พูดสักหน่อย เราจะได้เกร็ดความรู้ของสถานที่ท่องเที่ยวแต่ละแห่ง โดยที่ไม่ต้องไปขวนขวายอ่านเอง (เวลาไปเที่ยวตัวตนเอง บางคนอาจไม่ได้สนใจความสำคัญหรือความเป็นมาของสถานที่ท่องเที่ยวนั้นๆเลยก็มี)

แถมไกด์ทัวร์ก็เหมือนอับดุล ถามได้ ตอบได้ อยากซื้ออะไร อะไรฮิตอะไรฮอต บอกได้ ซื้อได้จากตรงไหน บอกได้ พาไปได้
มีปัญหาอะไร สื่อสารกับใครไม่เข้าใจ ก็เรียกได้ อุ่นใจกว่านี้ไม่มีอีกแล้วค่ะ 

ส่วนการไปเที่ยวเอง แน่นอนว่าเราต้องหาข้อมูลเอง แก้ปัญหาเฉพาะหน้าเองทั้งหมด ซึ่งสำหรับเรา จริงๆมันก็สนุกไปอีกแบบ

อีกประการหนึ่ง การเที่ยวกับทัวร์ แน่นอนว่าเราต้องไปตามโปรแกรมทัวร์ที่เค้าวางไว้ 
สถานที่ท่องเที่ยวแต่ละแห่งก็จะถูกจัดมาแล้วว่าจะต้องไปที่ไหนบ้าง นานเท่าไหร่ ซึ่งตรงนี้มันอาจไม่ตรงกับความชอบของเราหรือที่ที่เราอยากไป บางคนอาจจะอยากใช้เวลาอยู่กับสถานที่ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม บางคนอาจชอบแบบธรรมชาติ หรือบางคนอาจจะอยากช็อปปิ้งมากกว่า ตรงนี้ เราจะแทบเลือกไม่ได้เลยค่ะ ทำให้เวลาเราไปในที่ที่เราไม่สนใจ เราก็อาจเกิดอาการเบื่อขึ้นได้เหมือนกัน 
แต่ถ้าเราไปเอง ปัญหานี้จะหมดไป เราสามารถจัดได้เองเลยว่า เราอยากไปที่ไหนบ้าง ไม่ไปที่ไหนบ้าง หรือใช้เวลาแต่ละที่นานเท่าไหร่ 

แต่การเที่ยวกับทัวร์ เราก็จะพบความอุ่นใจอย่างที่บอกไปและเหมาะกับคนที่ไม่ค่อยมีเวลาหาข้อมูล เที่ยวตามโปรแกรมไปค่ะ ทัวร์จัดให้แล้ว
สำหรับบางคน การมาตั้งกระทู้ในพันทิปว่าช่วยจัดทริปให้หน่อย อาจไม่ใช่คำตอบเท่ากับการซื้อทัวร์มาเที่ยวค่ะ

นี่เป็นเรื่องของโปรแกรมทัวร์ค่ะ

เรื่องต่อมา ที่เราต้องยกให้เค้าคือ "ความกินดีอยู่ดี"
เรื่องนี้ จริงๆ ต้องแล้วแต่ทัวร์แต่ละทัวร์ด้วยนะคะ

แต่สำหรับทริปนี้ เต็มมากค่ะ กินดีอยู่ดีสุดๆ
ไม่มีคำว่าหิวเกิดขึ้นเลยตลอด 4 วัน
อาหารการกินจัดเต็มทุกมื้อ ขาปู หม้อไฟ ปิ้งย่าง มาแบบไม่อั้น กินกันจนตายไปข้างหนึ่ง

โรงแรมที่พักก็ดีทุกวัน ช่วงอยู่กับทัวร์ มีเวลา 3 คืน อยู่ 3 โรงแรม มีบ่อน้ำร้อนให้แช่เกือบทุกโรงแรม ทั้งบ่อในร่มและกลางแจ้ง เราแช่มันทุกโรงแรมเลยค่ะ สบายตัวดี

แถมความลำบากนี่แทบไม่ได้มาก้ำกรายเราเลย
กระเป๋าก็ไม่ต้องแบกเอง เนื่องจากเดินทางนั้นจะเดินทางโดยรถบัสตลอด 
ซึ่งถ้ามาเที่ยวเอง แน่นอนว่าเราจะต้องลากกระเป๋าขึ้นลงรถไฟเองค่ะ

แล้วยังไม่ต้องเดินเยอะ อันนี้สำคัญเหมือนกันค่ะ เพราะปกติแบ็คแพ็คมาญี่ปุ่น ต้องเดินเยอะมาก (ก ไก่ล้านตัว) แต่ถ้ามากับทัวร์ รถบัสจอดแทบจะเกยสถานที่เที่ยวแต่ละแห่งเลยค่ะ แทบไม่ต้องเดินเองเลย 
สำหรับวัยรุ่นอาจจะไม่ค่อยรู้สึก แต่ลองนึกถึงคนที่สูงวัยหน่อย มีปัญหาเรื่องข้อเข่าและการเดิน ตรงนี้ช่วยได้มากนะคะ

จบพาร์ทของการเที่ยวกับทัวร์ค่ะ 
---------------------------

ต่อไปนี้จะเป็น 3 วันที่เราอยู่ต่อเอง 
3 วันนี้เป็นการเที่ยวแบบตามใจฉันสุดๆ ทัวร์ใดๆในโลกก็ไม่สามารถให้เราได้ 555+

บอกก่อนเลยว่า ผู้ร่วมทริปของเราในครั้งนี้เป็นสาย Cartoon club สุดๆ
มีทั้งแบบบ้า Disney อ่านการ์ตูนญี่ปุ่น ดูอนิเมะ ต่อกันพลา ล่ากาชาปอง ซึ่งทัวร์ทั่วไปไม่สามารถจัดให้เราได้อย่างแน่นอน (หรือถ้าได้ ก็ไม่เต็มที่แบบที่เราต้องการ)

ความตั้งใจแรกเริ่มของเราเลย คือ 2 ใน 3 วัน เราจะไป Tokyo Disneyland กับ Disney Sea อย่างละ 1 วัน อีกวันหนึ่งก็อาจไปชมซากุระ ไปฮาราจูกุ อากิฮาบาระ และอิเคะบุคุโระ

แต่ด้วยความชิลเกินไป ไม่ยอมซื้อตั๋ว Tokyo Disneyland กับ Disney Sea จากเมืองไทยก่อนล่วงหน้า แล้วไปซื้อเอาที่ Disney shop ที่โน่นเลย 
ผลปรากฏว่า ช่วงที่เราไปนั้น ไม่มีตั๋ว Disney Sea ค่ะ เลยไปได้แค่ Tokyo Disneyland แห่งเดียว
(เพิ่งรู้ทีหลังว่า ช่วงปลายมีนาคมถึงต้นเมษายนเป็นช่วงเด็กญี่ปุ่นปิดเทอมพอดี ก่อนจะเปิดปีการศึกษาใหม่ตอนช่วงอาทิตย์ที่ 2 ของเดือนเมษายน)

ด้วยเหตุนี้ อยู่ๆเราเลยมีวันเพิ่มขึ้นมาอีก 1 วัน ทำให้เราเที่ยวสบายขึ้น เก็บตกโน่น นี่ นั่น ได้มากขึ้น 
ย่านที่ขึ้นชื่อเรื่องการ์ตูน เราไปสัมผัสมาเกือบทั้งหมด

- Odaiba ที่นี่น้องชายเราปลื้มมากค่ะ บอกว่าต้องมาให้ได้ เป้าหมายการมาญี่ปุ่นคือการมาสักการะกันดั้มตัวใหญ่ที่นี่ ....เอ่อ มันขนาดนั้นเลยเหรอ

- Akihabara หรือ Akiba โอ้ ที่เป็นอีกที่ที่สายการ์ตูนต้องมา ถ้าบอกว่าผู้หญิงอยู่ชิบูย่าเหมือนเดินในทุ่งดอกไม้ ผู้ชายสายโอตาคุกับที่นี่ก็เหมือนอยู่ในเขาวงกตดีๆนี่เอง ติดอยู่ในนั้น ออกมาไม่ได้สักที
ที่นี่ เราได้แวะไปห้าง Yodobashi เราเอาน้องชาย ไปปล่อยไว้ที่โซนขายกันพลา แล้วตัวเราเองก็ไปตามล่าหยอดกาชาปอง หยอดจนเกือบหมดตัว แทบลืมไปแล้วว่ามีน้องชาย น้องชายยังไม่มาปรากฏตัวสักที
ไปหาอีกที เจอน้องพร้อมกล่องกันพลากล่องเท่าบ้าน (อันนี้เวอร์ค่ะ ไม่ใหญ่ขนาดนั้น แต่ใหญ่จริงๆ 555+) กับกองกล่องกันพลาเล็กๆน้อยๆ อีกไม่รู้กี่กล่อง อุปกรณ์ทำสีเล็กๆน้อยๆอีกนิดหน่อย พร้อมบอกว่า ขออยู่ที่นี่ตลอดไปได้มั้ย เลือกไม่ถูกว่าจะเอาตัวไหนดี ตัดใจไม่ลง 5555+ 

- Ikebukuro ถ้า Akiba คือแหล่งโอตาคุผู้ชาย แหล่งโอตาคุผู้หญิงก็คือที่นี่นี่แหละค่ะ 555+
ร้าน Animate ที่นี่เต็มไปด้วยผู้หญิง (เยอะขนาดตอนแรกน้องชายเราไม่กล้าเดินเข้าเลยทีเดียว) 
กาชาปองที่อื่น อยากหยอดก็หยอดได้ แต่ที่นี่ บางตู้ต้องต่อแถวนะคะ สาวๆหยอดเสร็จก็จะมีเสียงกรี๊ดกร๊าดกันตามประสา ซึ่งเราโคตรเข้าใจ 555+
แบบว่าตู้กาชาปองเต็มไปด้วยหนุ่มหล่อค่ะ Free ก็มา Kurobas ก็มี (เรื่องอื่นไม่รู้จัก แต่ยืนยันว่าน่าพากับบ้านด้วยมาก) แหมมม ถ้าได้ดู Yuri on ice เร็วกว่านี้อีกหน่อย เชื่อว่าต้องมีแน่นอน เราจะบุกฝ่าดงสาวญี่ปุ่น ไปพาหนุ่มๆกลับบ้านมาด้วยแล้ว
ถ้าเดินออกจากร้าน Animate มานิดนึง เราจะเจอลานกว้างลานนึงค่ะ ซึ่งที่นี่ เราเห็นคนมาขายของกัน ...เข้าใจว่าน่าจะเป็นการแลกเปลี่ยนหรือขายของเกี่ยวกับอนิเมะที่ได้มานั่นแหละคะ (สาวๆทั้งนั้น หนุ่มๆแทบไม่มีเลยค่ะ)

- Shibuya-Harajuku ที่นี่อาจดูเหมือนเป็นสายแฟชั่น แต่จริงๆแล้ว มันไม่ได้มีแค่นั้นค่ะ มันมีทั้ง Line friend store, Kiddy land และ Disney store อยู่
แต่ละที่นี่เดินสนุกมาก เดินมันทุกชั้น ทุกช่อง อย่าถามว่าหมดเงินไปเท่าไหร่ มีบ้านขายบ้าน มีรถขายรถค่ะ ล้มละลายยยยย 

ป.ล. ชอบกาชาปองตัวนี้มาก หยอดมา 12 ตัว




ฮา กลับมาที่เที่ยวอื่นๆของเราดีกว่าค่ะ เริ่มที่แรกด้วยที่นี่เลย... 

Tokyo Disneyland




ครั้งนี้เป็นการมา Tokyo Disneyland ครั้งที่ 2 ของเรา (ครั้งแรกมาเมื่อตอนเด็กๆ)
บรรยากาศที่นี่สนุกมากๆค่ะ cast member ของ Tokyo Disney มีความอ้อล้อคาวาอี้มาก ยิ้มแบบยิ้มมมมมมมม และดูเต็มอกเต็มใจให้บริการตลอดเวลา 
ยิ่งขบวนพาเหรดนี่แบบ แต่ละคนคือเต็มมาก ไม่ได้พูดถึงเสื้อผ้าหน้าผมนะคะ แต่พูดถึงอารมณ์ มาเต็มจริงๆค่ะ มีความการ์ตู้นการ์ตูนอย่างบอกไม่ถูก
ช่วงที่ผ่านมา เราไป Hong Kong Disneyland มา 2 รอบ บอกเลยว่าไม่รู้สึกเต็มขนาดนี้ค่ะ

ยิ่งคนมาที่มาเที่ยวนี่ ที่ญี่ปุ่นนี่แต่ละคนแต่ละนางจัดเต็มกันแบบเรายอมซูฮกให้จริงๆ ยังกะอยู่ในงานคอสเพลย์ แบบเดี่ยวๆก็มี แบบกลุ่มก็มา 
หรืออย่างน้อยๆ หัวนี่ห้ามว่างค่ะ จะโบว์ ที่คาดผม หูมิกกี้ หมวกอะไรสักอย่างต้องมา 
ถังป็อปคอร์นนี่ทุกคนต้องมี จะลูกเด็กเล็กแดงขนาดไหน สะพายกันทุกคน
(ฮ่องกง แทบไม่เจอบรรยากาศแบบนี้เลยค่ะ)
บรรยากาศพาไปสุดๆเลยค่ะ จากเราเดินเฉยๆ บรรยากาศกล่อมไปกล่อมมา ได้หมวก Chip มา 1 อัน ถังโอลาฟอีก 1 อัน (เป็นผู้หญิงใจง่ายค่ะ 5555+)




ถ้าเทียบกับที่ฮ่องกงแล้ว ที่ Disneyland ที่โตเกียวพื้นที่ใหญ่กว่ามาก ขนาดปราสาทนี่คนละชั้นเลย บรรยากาศสนุกกว่า แต่ข้อเสียคือคิวเครื่องเล่นค่ะ คิวเครื่องเล่นยอดฮิตแต่ละอันนี่รอจนเหนื่อย รอจนน่องใหญ่ขึ้น 2 นิ้ว ยังไม่ได้เล่นเลย 
ในขณะที่ที่ฮ่องกงรอแป๊บๆเองค่ะ สามารถเก็บเครื่องเล่นหลักได้หมดภายใน 1 วันแบบสบายๆเลย

ศาลเจ้าเมจิ 




ที่นี่มาซ่อมค่ะ ทริปที่แล้วประเมินตัวเองผิดไปนิดนึง
คือครั้งที่แล้วที่มาโตเกียว เราว่าแผนว่าไปชิบูย่า - ฮาราจูกุ - ศาลเจ้าเมจิ ใน 1 วันค่ะ ซึ่งก็เป็นแพลนที่ดูปกติทั่วไป ใครๆก็ทำกัน
แต่เอาเข้าจริง พอไปถึงชิบูย่าปุ๊บ เราใช้เวลาอยู่ที่ชิบูย่าอย่างเดียวตั้งแต่ 10 โมงเช้า ถึง 6 โมงเย็นเลยค่ะ ทำให้ไปศาลเจ้าเมจิไม่ทันเวลาปิด ช็อปปิ้งเดินดูของเพลินไปหน่อย (หน่อยจริงๆ 6 ชั่วโมงเท่านั้นเอ๊งงงงง)
ครั้งนี้เลยตั้งใจแก้ตัวใหม่ค่ะ วางแผนเป็น ศาลเจ้าเมจิ - ฮาราจูกุ - ชิบูย่า - อากิฮาบาระ แทน
เอาศาลเจ้าเมจิมาไว้เช้าซะเลย แล้วค่อยไปช็อปปิ้งอย่างสบายใจ ซึ่งนับว่าคิดถูกค่ะ เพราะได้มาเจองานแต่งงานพอดีด้วย โชคดีมากค่ะ
ศาลเจ้าเมจิ เป็นอีกจุดที่เราชอบมากๆที่ญี่ปุ่นค่ะ 
บรรยากาศภายในศาลเจ้ากับบรรยากาศฮาราจูกุนี่แบบคนละเรื่องเลย เป็นความแตกต่างที่ลงตัวมาก
ภายในบริเวณของศาลเจ้านี่ร่มรื่นมากๆ เป็นกลางใจเมืองโตเกียว ที่เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ (ใหญ่มาก ใหญ่จริงจัง) อากาศสดชื่นมากๆ

สวน Chidorigafuchi

สวน Chidorigafuchi เป็นหนึ่งในที่ชมซากุระของโตเกียวที่มีความสวยงามมากค่ะ
เราสามารถพายเรือล่องน้ำชมซากุระได้แบบชิลๆ
ช่วงที่เราไปโตเกียวรอบนี้คือปลายมีนาคม ก็มีลุ้นซากุระค่ะ ตามพยากรณ์เป็นช่วงที่กำลังจะเริ่มบานพอดี เช็คในเว็บ เค้าว่ากันว่าที่นี่เริ่มบานแล้ว 
แต่เอาเข้าจริง พอไปถึงก็เป็นแบบในรูปค่ะ ซากุระยังไม่บาน ยังตูมๆอยู่ T^T




เห็นมั้ยคะ การเที่ยวเอง อยากไปไหนก็ไป อยากเปลี่ยนแผนตรงไหนก็เปลี่ยน ปรับตัวไปตามสถานการณ์ได้ ในขณะที่การเที่ยวกับทัวร์จะมีข้อจำกัดมากกว่า

แต่อย่างที่บอกไปข้างต้นค่ะ 
การเที่ยวเองกับการเที่ยวกับทัวร์ ต่างก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน 
บางอย่างก็ขึ้นอยู่กับความสะดวก รสนิยม สภาพร่างกาย และสไตล์การท่องเที่ยวของแต่ละคน 

เราไม่สามารถบอกได้อย่างเต็มที่ว่าอะไรดีกว่ากัน
แต่มันขึ้นอยู่กับว่า อะไรเหมาะกับคุณมากกว่ากัน
แต่ละคน แต่ละครอบครัว ต่างก็มีข้อจำกัดที่ต่างกัน ถ้าคุณสามารถรับข้อจำกัดของการเที่ยวแบบไหนได้มากกว่ากัน ก็ไปแบบนั้นเถอะค่ะ

ปกติเราเป็นสายชิล เลยชอบแบ็คแพ็คไปเองมากกว่า 
(เราเป็นสาย research ด้วยค่ะ เรื่องการหาข้อมูลนี่งานถนัดเลย)
แต่ถ้าในอนาคต ถ้าเราอายุมากขึ้นหรือมีปัญหาเรื่องกระดูก เดินไม่ค่อยไหว แบบนี้การไปเที่ยวกับทัวร์ก็คงเป็นตัวเลือกของเราเหมือนกันค่ะ

หรืออย่างเพื่อนเรา (ผู้หญิง) พาคุณแม่ไปเที่ยวญี่ปุ่น แต่คุณแม่เพื่อนมีปัญหาเรื่องข้อเท้า ทำให้เดินมากไม่ได้ ต้องมีนั่งรถเข็นเป็นระยะ แบบนี้ ถ้าจะให้เพื่อนเราพาคุณแม่เที่ยวเองก็อาจจะไม่ไหวค่ะ ทั้งต้องดูเลคุณแม่เอง รับผิดชอบกระเป๋าของทั้งตัวเองและคุณแม่ ทั้งๆที่ก็อยากเที่ยวเองแบบสบายๆ ไม่ต้องมีคนมาจำกัดเวลา แต่ด้วยข้อจำกัด การไปกับทัวร์ดูเหมือนจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าค่ะ

แต่ถ้าอย่างวัยรุ่นไปเที่ยวกับเพื่อนๆ ไปเองเถอะค่ะ
ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่เที่ยวง่ายที่สุดแล้ว เหมาะกับมือใหม่หัดเที่ยวมาก ขนส่งสาธารณะเข้าถึงแทบทุกจุด แถมยังค่อนข้างมีความปลอดภัยสูง ไม่ต้องกังวลเรื่องอาญชากรรมต่างๆมากนัก เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีค่ะ 

ย้ำอีกครั้ง การมีอาชญากรรมต่ำ ไม่ได้หมายความว่าไม่มี การที่คนอื่นไม่ประสบพบเจอเรื่องไม่ดี ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่เจอ ดังนั้น ต้องมีสติและระวังตัวอยู่เสมอนะคะ