07 พฤษภาคม 2560

เที่ยวญี่ปุ่นแบบครึ่งทัวร์ครึ่งแบ็คแพ็ค ทัวร์หรือไปเอง แบบไหนดีกว่ากัน

การเดินทางมาญี่ปุ่นในครั้งนี้ (ปี 2016) เป็นการเดินทางมาญี่ปุ่นกับทัวร์อีกครั้งหลังช่วงก่อนหน้านี้เราได้มาเที่ยวญี่ปุ่นเองกับเพื่อน 2 ปีติดกัน (ปี 2014 - 2015) 
และครั้งนี้ แม้จะมากับทัวร์ แต่เราได้ขอเลื่อนตั๋วกลับไปอีก 3 วัน เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มอีกนิดหน่อยค่ะ (จริงๆ อยากอยู่ต่อมากกว่านี้ แต่ทางทัวร์ปฏิเสธ เนื่องจากมีเงื่อนไขการออกตั๋วอยู่) 
ทั้งนี้ เราไม่สามารถยืนยันได้นะคะว่าการเลื่อนตั๋วกลับแบบนี้สามารถทำได้เสมอรึเปล่าหรือมีค่าใช้จ่ายอย่างไรนะคะ

ทัวร์นี้เป็นทัวร์แบบ 6 วัน 3 คืน 
เดินทางโดยสายการบินไทย สนามบินสุวรรณภูมิ กรุงเทพฯ - สนามนาริตะ โตเกียว
วันที่ 1 ออกเดินทางจากประเทศไทย
วันที่ 2 เดินทางถึงญี่ปุ่น และเริ่มเที่ยวตามโปรแกรม 
วันที่ 3 เที่ยวตามโปรแกรม
วันที่ 4 เที่ยวตามโปรแกรม
วันที่ 5 เที่ยวตามโปรแกรม และเดินทางกลับประเทศไทย
วันที่ 6 เดินทางถึงประเทศไทย
พูดง่ายๆ มีวันเที่ยวจริงๆ 4 วันเท่านั้นค่ะ (การใส่มาเป็น 6 วันนี่การตลาดล้วนๆ)

ถ้าเป็นการมาเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเอง เวลาเพียง 4 วัน เราคงเที่ยวแค่ในโตเกียวอย่างเดียว หรืออย่างมากก็คงออกนอกโตเกียวไปเมืองใกล้เคียงสัก 1 ที่ เพราะ 4 วัน แค่ในโตเกียวอย่างเดียวก็แทบเที่ยวไม่พออยู่แล้ว
แต่การมากับทัวร์นั้น โปรแกรมทัวร์จะพยายามจัดให้เราไปสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆของญี่ปุ่นให้มากที่สุด ทั้งไปจังหวัดอิบารากิ นิกโก้ วนกลับมาที่คาวากุจิโกะ แล้วถึงค่อยเข้าโตเกียว

ในช่วงเที่ยว 4 วันแรกซึ่งเป็นช่วงที่อยู่กับกรุ๊ปทัวร์ เราเลยจะไม่รู้รายละเอียดเรื่องการเดินทางใดๆเลยค่ะ (เอาจริงๆเที่ยวที่ไหนบ้าง เราเพิ่งมาอ่านจริงจังตอนอยู่หน้าเกทก่อนขึ้นเครื่องเอง) แต่จะขอพูดถึงเพียงบางสถานที่ที่ไปมาแล้วรู้สึกว่ามีประเด็นน่าสนใจ (นี่ไม่ใช่ทั้งหมดที่ไปมา ที่ไปมามีมากกว่านี้ แต่อาจไม่น่าสนใจเท่าไหร่ในความคิดของเราค่ะ)

Hitachi Seaside Park


Image credits: Teerayut Hiruntaraporn
Hitachi Seaside Park อยู่ในจังหวัดอิบารากิ ซึ่งอยู่ห่างจากโตเกียวไปอีกประมาณ​120 km เป็นสถานที่เที่ยวสถานที่แรกตามโปรแกรมทัวร์เลยค่ะ พูดง่ายๆ พอลงจากเครื่องบิน ก็ขึ้นรถบัสนั่งกันยาวๆ มาที่สวนแห่งนี้เลยค่ะ
เจ้าสวนนี้ เป็นหนึ่งในสถานที่ที่เราอยากมามากตอนที่มาเที่ยวญี่ปุ่นเมื่อเดือนพฤษภาคม 2014 (ทริปชมกุหลาบของเรากับเพื่อนนั่นเองค่ะ) เพราะมันเป็นที่ที่มีดอกเนโมฟีล่า (Nemophila) สีฟ้าบานสะพรั่ง สวยงามตามรูปด้านบนนี่แหละ แต่ครั้งนั้นไม่ได้เดินทางไป เพราะสถานที่ตั้งของมันค่อนข้างออกนอกเส้นทางการเที่ยวของเราไปพอสมควร
ครั้งนี้ ตอนเห็นภาพดอกเนโมฟีล่าในแผ่นกำหนดการที่ทางทัวร์แจก เราเลยดีใจสุดๆ จะได้มาสมใจอยากซะที 
แต่....... 
.....
....
...
แต่เราดันลืมคิดไปว่านี่คือเดือนมีนาคม!!

ดอกเนโมฟีล่ายังไม่บานค่ะ (ToT) 
ปกติดอกเนโมฟีล่าจะบานช่วงปลายเดือนเมษายนจนถึงประมาณพฤษภาคม (ซึ่งเป็นช่วงที่เรามาเที่ยวญี่ปุ่นตอนปี 2014)
อาเมน เราลืมนึกไปซะสนิทเลย พอเห็นรูปในโปรแกรมทัวร์ก็มัวแต่ดีใจ โดนรูปภาพหลอก กระซิกๆ --- นี่เป็นข้อควรระวังข้อที่ 1 "อย่าโดนรูปภาพหลอก

ตามปกติแล้ว บริษัททัวร์ย่อมเลือกภาพที่ดีที่สุดหรือสวยที่สุดของสถานที่ท่องเที่ยวมาใส่ไว้ในโปรแกรมทัวร์ เช่น สวน Hitachi Seaside Park นี้เป็นต้น หรือ เช่น ภาพภูเขาฟูจิ ปกติทางทัวร์ก็จะเลือกภาพที่เห็นภูเขาไฟฟูจิในมุมที่สวยและชัดที่สุดมา เพื่อเป็นการบอกว่าเราจะไปภูเขาไฟฟูจินะ แต่ไม่ได้เป็นการบอกหรือการันตีว่าเราจะได้เห็นภูเขาไฟฟูจิในมุมนั้น หรือในรูปลักษณ์แบบนั้น (ปกติ ทัวร์จะใส่รูปภูเขาไฟฟูจิตอนที่มีหิมะปกคลุมบนยอดเสมอ (หรือที่เราเรียกกันว่า ฟูจิใส่หมวก นั่นเอง) ซึ่งจริงๆ ถ้าเป็นการไปในช่วงฤดูร้อน หิมะบนยอดภูเขาไฟฟูจิจะละลายแล้ว ก็จะเหลือเป็นฟูจิซังโล้นๆ ไม่ได้ใส่หมวกแล้ว)

แต่ถึงเจ้าดอกเนโมฟีล่าสีฟ้าที่เราอยากชมนักหนาจะยังไม่บาน แต่สวน Hitachi Seaside Park ก็จะมีดอกไม้ชนิดอื่นๆบานสลับกันไปตลอดทั้งปีนะคะ
และดอกไม้ที่เป็นไฮไลท์ของ Hitachi Seaside Park ในช่วงที่เราไปนี้คือ ดอกนาร์ซิสซัส (Narcissus) สีเหลืองแบบนี้ค่ะ

ศาลเจ้าโทโชกุ



ศาลเจ้าโทโชกุ ตั้งอยู่ที่ Nikko ค่ะ เป็นศาลเจ้าที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานแก่โชกุนโทคุกาวะ อิเอยาสึ (ถ้าใครพอรู้ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นบ้างต้องรู้จักคนๆนี้อย่างแน่นอน เพราะเค้าเป็นคนดัง ตระกูลโทคุกาวะนี่เป็นตระกูลไดเมียวอันดับหนึ่งของญี่ปุ่นเลยค่ะ  หรือถ้าใครที่เสพหนังหรือการ์ตูนญี่ปุ่นเยอะๆแบบเราก็ต้องเคยผ่านตาชื่อนี้มาบ้าง)
ตอนแรกเราค่อนข้างเฉยๆกับการมาที่นี่มาก (ในใจคิดว่า...ก็ศาลเจ้าอ่ะ) 
แต่ในช่วงวันนั้นเอง หิมะตกค่ะ 
เฮ้ยยยย นี่ปลายมีนาจะเข้าเมษาอยู่แล้วนะ หิมะตกเป็นละอองๆ อากาศหนาวมาก เราไม่คิดไม่ฝันเลยว่าทริปนี้จะเจอหิมะ แต่ก็เจอซะงั้น 
พอหิมะตกปุ๊บกลายเป็นว่าสวยมากกกกกกกกกก
สวยตั้งแต่ทางเข้าที่เป็นต้นสนขนาดใหญ่ เรื่อยมาจนถึงด้านในเลยค่ะ ได้บรรยากาศมากๆ

แต่ด้วยสภาพอากาศที่แปรปรวน มีหิมะตกหนักในบางพื้นที่ ทำให้โปรแกรมทัวร์เกิดการเปลี่ยนแปลงเนื่องจากสถานที่บางแห่งนั้นไม่สามารถเข้าไปได้ --- ข้อควรระวังข้อที่ 2 "อย่าคาดหวังว่าจะได้เที่ยวทุกที่ตามโปรแกรมเป๊ะๆ"

Edo Wonderland



นี่เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่เคยอยากไปค่ะ 
Edo Wonderland เป็นการจำลองเมืองในยุคเอโดะขึ้นมา  
ภายในจะมีทั้งการแสดง กิจกรรม และร้านค้ามากมายเลยค่ะ 
เรามีเวลาให้กับที่นี่ครึ่งวันเช้า ซึ่งถือว่าเยอะถ้าเทียบกับที่อื่นที่มีเวลาให้ประมาณ 30 - 45 นาที แต่เนื่องจากการแสดงแต่ละอย่างมันต้องใช้เวลา และพื้นที่ที่นี่ก็ค่อนข้างกว้าง เลยกลายเป็นว่าเราเที่ยวไม่ทั่วค่ะ ต้องเลือกให้ดีว่าอยากไปชมอะไรหรือไปเข้าร่วมกิจกรรมตรงไหนยังไงบ้าง

และสถานที่ที่เราอยากแนะนำ คือ บ้านนินจาลวงตา 
เจ้าบ้านหลังนี้ ใครไม่เข้าไปจะไม่มีทางรู้เลยว่ามันไม่ธรรมดาจริงๆ
ดูภายในอาจเป็นเหมือนบ้านเอียงๆหลังหนึ่ง ไม่น่ามีอะไร แต่พอเข้าไปข้างในแล้ว เรารู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาล มึนหัวมาก จะเดินไปแต่ละย่างก้าวช่างยากลำบาก แทบต้องคลานต้องเกาะราวสาวผนังไปเลยทีเดียว
ตอนไป เราเดินเข้าไปคนแรก มีอาการอย่างที่เล่าไปค่ะ คนอื่นหาว่าเราเว่อร์
แต่พอได้เข้าไปเท่านั้นแหละ ทุกคนก็บอกว่า เข้าใจความรู้สึกของเราแล้ว 555+
ถ้าใครได้ไปที่นี่ เราแนะนำให้ไปค่ะ สนุกดี (แต่อย่าไปขณะอิ่มใหม่ๆเด็ดขาด)

ภูเขาไฟฟูจิ

แน่นอนว่าหากพูดถึงภูเขาไฟฟูจิ จุดยอดฮิตของทุกทัวร์ คือ ภูเขาไฟฟูจิชั้น 5  
ไอ้เจ้าชั้น 5 ของภูเขาไฟฟูจินี่ เราสงสัยมาตลอดเลยว่ามันมีอะไร และไม่เข้าใจเลยว่าจะขึ้นไปทำไม....

สำหรับเราแล้ว จุดที่สวยที่สุดของฟูจิซังที่คาวากุจิโกะ อยู่ที่ด้านล่างที่สามารถเห็นภูเขาไฟฟูจิได้เต็มรูปแบบ อย่างเช่น บริเวณริมทะเลสาบคาวากุจิโกะนั่นแหละค่ะ ไม่ต้องดั้นด้นขึ้นไปไหนหรอก 
ยิ่งขึ้นไปข้างบน ยิ่งจะไม่เห็นอะไรนะคะ แถมต้องไปลุ้นเอากับสภาพอากาศอีกว่าจะสามารถขึ้นไปได้มั้ย

วันที่เราไป ขึ้นแค่ถึงแค่ชั้น 1-2 ค่ะ ซึ่งด้วยสภาพของสถานที่และจำนวนคนมหาศาล (ทัวร์ทุกชาติมารวมกันอยู่ที่นี่ค่ะ) เราไม่รู้จะถ่ายรูปยังไงให้สวยจริงๆ

ภาพต่อไปนี้เป็นอีกจุดที่ทางทัวร์พาไปถ่ายรูปค่ะ เป็นศูนย์บริการก่อนขึ้นด้านบนของภูเขาไฟฟูจิค่ะ



อืมมมมมมม รู้สึกยังไงกันบ้างคะ......

ลองมาเทียบกับภาพนี้ดูค่ะ ภาพนี้เป็นภาพภูเขาไฟฟูจิจากริมทะเลสาบคาวากุจิโกะของเราเมื่อทริปที่แล้ว
เทียบกันดูเองแล้วกันค่ะ ว่าอยากได้แบบไหนมากกว่ากัน



เพราะฉะนั้น ระลึกอยู่เสมอว่า จุดที่ฮิตที่สุดที่ทัวร์พาไปอาจไม่ใช่จุดที่ดีที่สุดหรือสวยที่สุดสำหรับเราค่ะ

โอชิโนะฮัคไค หรือ หมู่บ้านน้ำใส 



หมู่บ้านน้ำใส หรือ Oshino Hokkai แห่งนี้ เล่ากันว่าน้ำจากหมู่บ้านนี้เป็นน้ำที่มาจากการละลายของหิมะบนยอดเขาฟูจิค่ะ ซึ่งสมชื่อค่ะ น้ำใสมากจริงๆ
บรรยากาศบริเวณหมู่บ้าน ถ้าตัดเรื่องจำนวนคนจำนวนมากและห้องน้ำที่ค่อนข้าง...ออกไปแล้ว ก็นับว่าน่าสนใจค่ะ ได้บรรยากาศดี และถ้าในวันที่ฟ้าเปิด อากาศดีๆ เราก็จะสามารถมองเห็นภูเขาไฟฟูจิจากที่นี่ได้ด้วยค่ะ

มาถึงที่นี่ เราต้องไปบ่อน้ำตรงกลางหมู่บ้าน (ที่เค้าว่ากันว่าน้ำใสมาก) เจ้าบ่อนี้ลึกมากค่ะ 



และด้วยความที่น้ำในบ่อมันใสมากจริงๆ สิ่งที่เรียกร้องความสนใจจากเราได้เลยเป็นของในบ่อค่ะ นอกจากน้องปลาที่แหวกว่ายอยู่แล้ว มีทั้งเงิน ไอโฟน กล่องถ่ายรูป แว่นเรย์แบน และอื่นๆอีกมากมาย (รวมมูลค่านี่น่าจะได้ตั๋วเครื่องบินไปกลับกรุงเทพโตเกียวอีกเที่ยวนึงเลย) --- ดังนั้น ข้อควรระวังในการมาเที่ยวที่นี่คือ ระวังสิ่งของตกลงไปในบ่อค่ะ บ่อลึกมาก ไม่มีคนเก็บให้นะคะ :P

วัดเซนโซจิหรือวัดอาซากุสะ



มาโตเกียว ถ้าไม่ได้มาที่นี่เหมือนมาไม่ถึงเลยค่ะ เป็นไฮไลท์ที่ทุกทัวร์ต้องจัดมา
วัดอาซากุสะหรือวัดเซนโซจิ (Sensoji) มีจุดเด่นอยู่ที่โคมไฟสีแดงขนาดใหญ่บริเวณด้านหน้าวัด เป็นจุดแรกที่ทุกคนต้องไปแชะภาพเก็บไว้ 
จากนั้นเราก็ต้องฝ่าฟันกับผู้คนและร้านค้ารอบข้าง เพื่อเข้าไปยังตัววัด (คนไทยจำนวนมากตกหล่นอยู่ตามร้านค้าเหล่านี้ค่ะ 555+)
เมื่อไปถึงด้านหน้าวด สเต็ปทั่วไปคือ ต้องไปล้างมือล้างปาก -> จุดธูป -> ควักควันธูปเข้าตัว -> แชะภาพกับตัววัด -> โยนเหรียญขอพร -> เข้าไปชมด้านใน -> และอาจแถมด้วยการเสี่ยงเซียมซีและซื้อเครื่องรางนำโชค

เรามีโอกาสมาที่นี่หลายครั้งแล้วค่ะ (เรียกว่ามาทุกรอบที่มาโตเกียวเลยก็ว่าได้) ทั้งแบบมาเอง และแบบ(ถูกบังคับ)มากับทัวร์
ครั้งที่มาเองนั้น เราใช้เวลากับที่นี่นานมาก ตั้งแต่ถ่ายรูปกับโคมแดงด้านหน้าประมานสามร้อยช็อต เดินดูร้านค้าต่างๆ ซื้อธูปไปปัก ควักควันเข้าตัว ไปโยนเหรียญขอพร แล้วเลยไปเสี่ยงเซียมซี แวะดูเครื่องรางสิ่งบูชาทั้งหลาย เดินชมรอบๆวัด ข้ามไปไหว้ศาลเจ้าที่อยู่ข้างๆวัด แล้ววกออกมาตามหาของอร่อยบริเวณรอบๆวัด
แต่ในครั้งนี้ ทัวร์ให้เวลากับที่นี่ 45 นาที !!!!!
45 นาทีนี่ แค่เดินไปโยนเหรียญขอพร ถ่ายรูปพอเป็นพิธี เดินฝ่าฝูงชนไปถ่ายรูปกับโคมแดง เดินกลับมาที่จุดนัดพบ ก็หมดเวลาแล้วค่ะ
รีบกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว

เอ๊ะ หรือมี?

พูดถึงเรื่องเวลาและความเร่งรีบแล้ว อีกจุดนึงที่ไม่พูดถึงไม่ได้ คือ ภารกิจสำคัญของการไปเที่ยวญี่ปุ่น
อะไรเหรอคะ?
ช็อปปิ้งไงค่ะ!
การไปเที่ยวญี่ปุ่นกับทัวร์นั้น สถานที่แต่ละแห่ง เราจะถูกจำกัดเวลาเสมอ 
การช็อปปิ้งก็เช่นกัน....

อย่างที่เรารู้กัน ย่านช็อปปิ้งของโตเกียวนั้นมีหลายย่าน แต่ย่านฮิตของทัวร์ หนีไม่พ้นที่ Shinjuku ชินจูกุ
ชินจูกุเป็นย่านช็อปปิ้งที่ยิ่งใหญ่มาก เดินทั้งวันยังไม่ทั่ว 
แต่เรามีเวลาเดินและเวลาช็อปปิ้งทั้งหมด 2 ชั่วโมง
กรี๊ดดดดดดด แกรรรรรร แค่เดินหาร้านที่จะซื้อก็หมดเวลาแล้วมั้ง 5555+
ตอนช็อปอยู่นั้น เรามีเสียงดังอยู่ในหัวตลอดเวลา "ทำให้ดี ทำให้ไว ถ้าทำได้ให้ล้านนึง" (บอกอายุสุดๆ)
แต่งานนี้ไม่มีคนให้เงินล้านเราแน่ๆ แต่ต้องทำให้ดี ทำให้ไวที่สุด เป็นการช็อปที่เหนื่อยมากสำหรับเราค่ะ 5555+

เร่งมาก จะเร่งไปไหนนนนนน สาย chill และ slow life อย่างเราไม่สันทัดจริงๆค่ะ
เราจะเจอคำว่าอีก 45 นาที เจอกัน อีก 20 นาทีเจอกัน ตลอดเวลา 
แล้วการไปกับทัวร์นั้น เราทุกคน ลูกทัวร์ทุกคนควรต้องรักษาเวลาให้ดีค่ะ ถ้าเราสายหรือช้า มันจะกระทบกับคนทั้งกรุ๊ป ไม่ใช่แค่เราคนเดียว
เพราะฉะนั้น นอกจากเวลามีน้อยแล้ว เราก็ยังกังวลกับเวลาอีก ทำให้บางครั้งเราไม่สามารถใช้เวลาดื่มด่ำกับบรรยากาศหรือเดินชมสถานที่ท่องเที่ยวแต่ละสถานที่ให้ได้อย่างเต็มที่

นี่เป็นข้อเสียสำคัญของการไปเที่ยวกับทัวร์เลย "ความเร่งรีบ" คำนี้มีอยู่จริง

แต่ข้อดีก็คือ ถ้าเราสนใจฟังที่ไกด์พูดสักหน่อย เราจะได้เกร็ดความรู้ของสถานที่ท่องเที่ยวแต่ละแห่ง โดยที่ไม่ต้องไปขวนขวายอ่านเอง (เวลาไปเที่ยวตัวตนเอง บางคนอาจไม่ได้สนใจความสำคัญหรือความเป็นมาของสถานที่ท่องเที่ยวนั้นๆเลยก็มี)

แถมไกด์ทัวร์ก็เหมือนอับดุล ถามได้ ตอบได้ อยากซื้ออะไร อะไรฮิตอะไรฮอต บอกได้ ซื้อได้จากตรงไหน บอกได้ พาไปได้
มีปัญหาอะไร สื่อสารกับใครไม่เข้าใจ ก็เรียกได้ อุ่นใจกว่านี้ไม่มีอีกแล้วค่ะ 

ส่วนการไปเที่ยวเอง แน่นอนว่าเราต้องหาข้อมูลเอง แก้ปัญหาเฉพาะหน้าเองทั้งหมด ซึ่งสำหรับเรา จริงๆมันก็สนุกไปอีกแบบ

อีกประการหนึ่ง การเที่ยวกับทัวร์ แน่นอนว่าเราต้องไปตามโปรแกรมทัวร์ที่เค้าวางไว้ 
สถานที่ท่องเที่ยวแต่ละแห่งก็จะถูกจัดมาแล้วว่าจะต้องไปที่ไหนบ้าง นานเท่าไหร่ ซึ่งตรงนี้มันอาจไม่ตรงกับความชอบของเราหรือที่ที่เราอยากไป บางคนอาจจะอยากใช้เวลาอยู่กับสถานที่ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม บางคนอาจชอบแบบธรรมชาติ หรือบางคนอาจจะอยากช็อปปิ้งมากกว่า ตรงนี้ เราจะแทบเลือกไม่ได้เลยค่ะ ทำให้เวลาเราไปในที่ที่เราไม่สนใจ เราก็อาจเกิดอาการเบื่อขึ้นได้เหมือนกัน 
แต่ถ้าเราไปเอง ปัญหานี้จะหมดไป เราสามารถจัดได้เองเลยว่า เราอยากไปที่ไหนบ้าง ไม่ไปที่ไหนบ้าง หรือใช้เวลาแต่ละที่นานเท่าไหร่ 

แต่การเที่ยวกับทัวร์ เราก็จะพบความอุ่นใจอย่างที่บอกไปและเหมาะกับคนที่ไม่ค่อยมีเวลาหาข้อมูล เที่ยวตามโปรแกรมไปค่ะ ทัวร์จัดให้แล้ว
สำหรับบางคน การมาตั้งกระทู้ในพันทิปว่าช่วยจัดทริปให้หน่อย อาจไม่ใช่คำตอบเท่ากับการซื้อทัวร์มาเที่ยวค่ะ

นี่เป็นเรื่องของโปรแกรมทัวร์ค่ะ

เรื่องต่อมา ที่เราต้องยกให้เค้าคือ "ความกินดีอยู่ดี"
เรื่องนี้ จริงๆ ต้องแล้วแต่ทัวร์แต่ละทัวร์ด้วยนะคะ

แต่สำหรับทริปนี้ เต็มมากค่ะ กินดีอยู่ดีสุดๆ
ไม่มีคำว่าหิวเกิดขึ้นเลยตลอด 4 วัน
อาหารการกินจัดเต็มทุกมื้อ ขาปู หม้อไฟ ปิ้งย่าง มาแบบไม่อั้น กินกันจนตายไปข้างหนึ่ง

โรงแรมที่พักก็ดีทุกวัน ช่วงอยู่กับทัวร์ มีเวลา 3 คืน อยู่ 3 โรงแรม มีบ่อน้ำร้อนให้แช่เกือบทุกโรงแรม ทั้งบ่อในร่มและกลางแจ้ง เราแช่มันทุกโรงแรมเลยค่ะ สบายตัวดี

แถมความลำบากนี่แทบไม่ได้มาก้ำกรายเราเลย
กระเป๋าก็ไม่ต้องแบกเอง เนื่องจากเดินทางนั้นจะเดินทางโดยรถบัสตลอด 
ซึ่งถ้ามาเที่ยวเอง แน่นอนว่าเราจะต้องลากกระเป๋าขึ้นลงรถไฟเองค่ะ

แล้วยังไม่ต้องเดินเยอะ อันนี้สำคัญเหมือนกันค่ะ เพราะปกติแบ็คแพ็คมาญี่ปุ่น ต้องเดินเยอะมาก (ก ไก่ล้านตัว) แต่ถ้ามากับทัวร์ รถบัสจอดแทบจะเกยสถานที่เที่ยวแต่ละแห่งเลยค่ะ แทบไม่ต้องเดินเองเลย 
สำหรับวัยรุ่นอาจจะไม่ค่อยรู้สึก แต่ลองนึกถึงคนที่สูงวัยหน่อย มีปัญหาเรื่องข้อเข่าและการเดิน ตรงนี้ช่วยได้มากนะคะ

จบพาร์ทของการเที่ยวกับทัวร์ค่ะ 
---------------------------

ต่อไปนี้จะเป็น 3 วันที่เราอยู่ต่อเอง 
3 วันนี้เป็นการเที่ยวแบบตามใจฉันสุดๆ ทัวร์ใดๆในโลกก็ไม่สามารถให้เราได้ 555+

บอกก่อนเลยว่า ผู้ร่วมทริปของเราในครั้งนี้เป็นสาย Cartoon club สุดๆ
มีทั้งแบบบ้า Disney อ่านการ์ตูนญี่ปุ่น ดูอนิเมะ ต่อกันพลา ล่ากาชาปอง ซึ่งทัวร์ทั่วไปไม่สามารถจัดให้เราได้อย่างแน่นอน (หรือถ้าได้ ก็ไม่เต็มที่แบบที่เราต้องการ)

ความตั้งใจแรกเริ่มของเราเลย คือ 2 ใน 3 วัน เราจะไป Tokyo Disneyland กับ Disney Sea อย่างละ 1 วัน อีกวันหนึ่งก็อาจไปชมซากุระ ไปฮาราจูกุ อากิฮาบาระ และอิเคะบุคุโระ

แต่ด้วยความชิลเกินไป ไม่ยอมซื้อตั๋ว Tokyo Disneyland กับ Disney Sea จากเมืองไทยก่อนล่วงหน้า แล้วไปซื้อเอาที่ Disney shop ที่โน่นเลย 
ผลปรากฏว่า ช่วงที่เราไปนั้น ไม่มีตั๋ว Disney Sea ค่ะ เลยไปได้แค่ Tokyo Disneyland แห่งเดียว
(เพิ่งรู้ทีหลังว่า ช่วงปลายมีนาคมถึงต้นเมษายนเป็นช่วงเด็กญี่ปุ่นปิดเทอมพอดี ก่อนจะเปิดปีการศึกษาใหม่ตอนช่วงอาทิตย์ที่ 2 ของเดือนเมษายน)

ด้วยเหตุนี้ อยู่ๆเราเลยมีวันเพิ่มขึ้นมาอีก 1 วัน ทำให้เราเที่ยวสบายขึ้น เก็บตกโน่น นี่ นั่น ได้มากขึ้น 
ย่านที่ขึ้นชื่อเรื่องการ์ตูน เราไปสัมผัสมาเกือบทั้งหมด

- Odaiba ที่นี่น้องชายเราปลื้มมากค่ะ บอกว่าต้องมาให้ได้ เป้าหมายการมาญี่ปุ่นคือการมาสักการะกันดั้มตัวใหญ่ที่นี่ ....เอ่อ มันขนาดนั้นเลยเหรอ

- Akihabara หรือ Akiba โอ้ ที่เป็นอีกที่ที่สายการ์ตูนต้องมา ถ้าบอกว่าผู้หญิงอยู่ชิบูย่าเหมือนเดินในทุ่งดอกไม้ ผู้ชายสายโอตาคุกับที่นี่ก็เหมือนอยู่ในเขาวงกตดีๆนี่เอง ติดอยู่ในนั้น ออกมาไม่ได้สักที
ที่นี่ เราได้แวะไปห้าง Yodobashi เราเอาน้องชาย ไปปล่อยไว้ที่โซนขายกันพลา แล้วตัวเราเองก็ไปตามล่าหยอดกาชาปอง หยอดจนเกือบหมดตัว แทบลืมไปแล้วว่ามีน้องชาย น้องชายยังไม่มาปรากฏตัวสักที
ไปหาอีกที เจอน้องพร้อมกล่องกันพลากล่องเท่าบ้าน (อันนี้เวอร์ค่ะ ไม่ใหญ่ขนาดนั้น แต่ใหญ่จริงๆ 555+) กับกองกล่องกันพลาเล็กๆน้อยๆ อีกไม่รู้กี่กล่อง อุปกรณ์ทำสีเล็กๆน้อยๆอีกนิดหน่อย พร้อมบอกว่า ขออยู่ที่นี่ตลอดไปได้มั้ย เลือกไม่ถูกว่าจะเอาตัวไหนดี ตัดใจไม่ลง 5555+ 

- Ikebukuro ถ้า Akiba คือแหล่งโอตาคุผู้ชาย แหล่งโอตาคุผู้หญิงก็คือที่นี่นี่แหละค่ะ 555+
ร้าน Animate ที่นี่เต็มไปด้วยผู้หญิง (เยอะขนาดตอนแรกน้องชายเราไม่กล้าเดินเข้าเลยทีเดียว) 
กาชาปองที่อื่น อยากหยอดก็หยอดได้ แต่ที่นี่ บางตู้ต้องต่อแถวนะคะ สาวๆหยอดเสร็จก็จะมีเสียงกรี๊ดกร๊าดกันตามประสา ซึ่งเราโคตรเข้าใจ 555+
แบบว่าตู้กาชาปองเต็มไปด้วยหนุ่มหล่อค่ะ Free ก็มา Kurobas ก็มี (เรื่องอื่นไม่รู้จัก แต่ยืนยันว่าน่าพากับบ้านด้วยมาก) แหมมม ถ้าได้ดู Yuri on ice เร็วกว่านี้อีกหน่อย เชื่อว่าต้องมีแน่นอน เราจะบุกฝ่าดงสาวญี่ปุ่น ไปพาหนุ่มๆกลับบ้านมาด้วยแล้ว
ถ้าเดินออกจากร้าน Animate มานิดนึง เราจะเจอลานกว้างลานนึงค่ะ ซึ่งที่นี่ เราเห็นคนมาขายของกัน ...เข้าใจว่าน่าจะเป็นการแลกเปลี่ยนหรือขายของเกี่ยวกับอนิเมะที่ได้มานั่นแหละคะ (สาวๆทั้งนั้น หนุ่มๆแทบไม่มีเลยค่ะ)

- Shibuya-Harajuku ที่นี่อาจดูเหมือนเป็นสายแฟชั่น แต่จริงๆแล้ว มันไม่ได้มีแค่นั้นค่ะ มันมีทั้ง Line friend store, Kiddy land และ Disney store อยู่
แต่ละที่นี่เดินสนุกมาก เดินมันทุกชั้น ทุกช่อง อย่าถามว่าหมดเงินไปเท่าไหร่ มีบ้านขายบ้าน มีรถขายรถค่ะ ล้มละลายยยยย 

ป.ล. ชอบกาชาปองตัวนี้มาก หยอดมา 12 ตัว




ฮา กลับมาที่เที่ยวอื่นๆของเราดีกว่าค่ะ เริ่มที่แรกด้วยที่นี่เลย... 

Tokyo Disneyland




ครั้งนี้เป็นการมา Tokyo Disneyland ครั้งที่ 2 ของเรา (ครั้งแรกมาเมื่อตอนเด็กๆ)
บรรยากาศที่นี่สนุกมากๆค่ะ cast member ของ Tokyo Disney มีความอ้อล้อคาวาอี้มาก ยิ้มแบบยิ้มมมมมมมม และดูเต็มอกเต็มใจให้บริการตลอดเวลา 
ยิ่งขบวนพาเหรดนี่แบบ แต่ละคนคือเต็มมาก ไม่ได้พูดถึงเสื้อผ้าหน้าผมนะคะ แต่พูดถึงอารมณ์ มาเต็มจริงๆค่ะ มีความการ์ตู้นการ์ตูนอย่างบอกไม่ถูก
ช่วงที่ผ่านมา เราไป Hong Kong Disneyland มา 2 รอบ บอกเลยว่าไม่รู้สึกเต็มขนาดนี้ค่ะ

ยิ่งคนมาที่มาเที่ยวนี่ ที่ญี่ปุ่นนี่แต่ละคนแต่ละนางจัดเต็มกันแบบเรายอมซูฮกให้จริงๆ ยังกะอยู่ในงานคอสเพลย์ แบบเดี่ยวๆก็มี แบบกลุ่มก็มา 
หรืออย่างน้อยๆ หัวนี่ห้ามว่างค่ะ จะโบว์ ที่คาดผม หูมิกกี้ หมวกอะไรสักอย่างต้องมา 
ถังป็อปคอร์นนี่ทุกคนต้องมี จะลูกเด็กเล็กแดงขนาดไหน สะพายกันทุกคน
(ฮ่องกง แทบไม่เจอบรรยากาศแบบนี้เลยค่ะ)
บรรยากาศพาไปสุดๆเลยค่ะ จากเราเดินเฉยๆ บรรยากาศกล่อมไปกล่อมมา ได้หมวก Chip มา 1 อัน ถังโอลาฟอีก 1 อัน (เป็นผู้หญิงใจง่ายค่ะ 5555+)




ถ้าเทียบกับที่ฮ่องกงแล้ว ที่ Disneyland ที่โตเกียวพื้นที่ใหญ่กว่ามาก ขนาดปราสาทนี่คนละชั้นเลย บรรยากาศสนุกกว่า แต่ข้อเสียคือคิวเครื่องเล่นค่ะ คิวเครื่องเล่นยอดฮิตแต่ละอันนี่รอจนเหนื่อย รอจนน่องใหญ่ขึ้น 2 นิ้ว ยังไม่ได้เล่นเลย 
ในขณะที่ที่ฮ่องกงรอแป๊บๆเองค่ะ สามารถเก็บเครื่องเล่นหลักได้หมดภายใน 1 วันแบบสบายๆเลย

ศาลเจ้าเมจิ 




ที่นี่มาซ่อมค่ะ ทริปที่แล้วประเมินตัวเองผิดไปนิดนึง
คือครั้งที่แล้วที่มาโตเกียว เราว่าแผนว่าไปชิบูย่า - ฮาราจูกุ - ศาลเจ้าเมจิ ใน 1 วันค่ะ ซึ่งก็เป็นแพลนที่ดูปกติทั่วไป ใครๆก็ทำกัน
แต่เอาเข้าจริง พอไปถึงชิบูย่าปุ๊บ เราใช้เวลาอยู่ที่ชิบูย่าอย่างเดียวตั้งแต่ 10 โมงเช้า ถึง 6 โมงเย็นเลยค่ะ ทำให้ไปศาลเจ้าเมจิไม่ทันเวลาปิด ช็อปปิ้งเดินดูของเพลินไปหน่อย (หน่อยจริงๆ 6 ชั่วโมงเท่านั้นเอ๊งงงงง)
ครั้งนี้เลยตั้งใจแก้ตัวใหม่ค่ะ วางแผนเป็น ศาลเจ้าเมจิ - ฮาราจูกุ - ชิบูย่า - อากิฮาบาระ แทน
เอาศาลเจ้าเมจิมาไว้เช้าซะเลย แล้วค่อยไปช็อปปิ้งอย่างสบายใจ ซึ่งนับว่าคิดถูกค่ะ เพราะได้มาเจองานแต่งงานพอดีด้วย โชคดีมากค่ะ
ศาลเจ้าเมจิ เป็นอีกจุดที่เราชอบมากๆที่ญี่ปุ่นค่ะ 
บรรยากาศภายในศาลเจ้ากับบรรยากาศฮาราจูกุนี่แบบคนละเรื่องเลย เป็นความแตกต่างที่ลงตัวมาก
ภายในบริเวณของศาลเจ้านี่ร่มรื่นมากๆ เป็นกลางใจเมืองโตเกียว ที่เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ (ใหญ่มาก ใหญ่จริงจัง) อากาศสดชื่นมากๆ

สวน Chidorigafuchi

สวน Chidorigafuchi เป็นหนึ่งในที่ชมซากุระของโตเกียวที่มีความสวยงามมากค่ะ
เราสามารถพายเรือล่องน้ำชมซากุระได้แบบชิลๆ
ช่วงที่เราไปโตเกียวรอบนี้คือปลายมีนาคม ก็มีลุ้นซากุระค่ะ ตามพยากรณ์เป็นช่วงที่กำลังจะเริ่มบานพอดี เช็คในเว็บ เค้าว่ากันว่าที่นี่เริ่มบานแล้ว 
แต่เอาเข้าจริง พอไปถึงก็เป็นแบบในรูปค่ะ ซากุระยังไม่บาน ยังตูมๆอยู่ T^T




เห็นมั้ยคะ การเที่ยวเอง อยากไปไหนก็ไป อยากเปลี่ยนแผนตรงไหนก็เปลี่ยน ปรับตัวไปตามสถานการณ์ได้ ในขณะที่การเที่ยวกับทัวร์จะมีข้อจำกัดมากกว่า

แต่อย่างที่บอกไปข้างต้นค่ะ 
การเที่ยวเองกับการเที่ยวกับทัวร์ ต่างก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน 
บางอย่างก็ขึ้นอยู่กับความสะดวก รสนิยม สภาพร่างกาย และสไตล์การท่องเที่ยวของแต่ละคน 

เราไม่สามารถบอกได้อย่างเต็มที่ว่าอะไรดีกว่ากัน
แต่มันขึ้นอยู่กับว่า อะไรเหมาะกับคุณมากกว่ากัน
แต่ละคน แต่ละครอบครัว ต่างก็มีข้อจำกัดที่ต่างกัน ถ้าคุณสามารถรับข้อจำกัดของการเที่ยวแบบไหนได้มากกว่ากัน ก็ไปแบบนั้นเถอะค่ะ

ปกติเราเป็นสายชิล เลยชอบแบ็คแพ็คไปเองมากกว่า 
(เราเป็นสาย research ด้วยค่ะ เรื่องการหาข้อมูลนี่งานถนัดเลย)
แต่ถ้าในอนาคต ถ้าเราอายุมากขึ้นหรือมีปัญหาเรื่องกระดูก เดินไม่ค่อยไหว แบบนี้การไปเที่ยวกับทัวร์ก็คงเป็นตัวเลือกของเราเหมือนกันค่ะ

หรืออย่างเพื่อนเรา (ผู้หญิง) พาคุณแม่ไปเที่ยวญี่ปุ่น แต่คุณแม่เพื่อนมีปัญหาเรื่องข้อเท้า ทำให้เดินมากไม่ได้ ต้องมีนั่งรถเข็นเป็นระยะ แบบนี้ ถ้าจะให้เพื่อนเราพาคุณแม่เที่ยวเองก็อาจจะไม่ไหวค่ะ ทั้งต้องดูเลคุณแม่เอง รับผิดชอบกระเป๋าของทั้งตัวเองและคุณแม่ ทั้งๆที่ก็อยากเที่ยวเองแบบสบายๆ ไม่ต้องมีคนมาจำกัดเวลา แต่ด้วยข้อจำกัด การไปกับทัวร์ดูเหมือนจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าค่ะ

แต่ถ้าอย่างวัยรุ่นไปเที่ยวกับเพื่อนๆ ไปเองเถอะค่ะ
ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่เที่ยวง่ายที่สุดแล้ว เหมาะกับมือใหม่หัดเที่ยวมาก ขนส่งสาธารณะเข้าถึงแทบทุกจุด แถมยังค่อนข้างมีความปลอดภัยสูง ไม่ต้องกังวลเรื่องอาญชากรรมต่างๆมากนัก เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีค่ะ 

ย้ำอีกครั้ง การมีอาชญากรรมต่ำ ไม่ได้หมายความว่าไม่มี การที่คนอื่นไม่ประสบพบเจอเรื่องไม่ดี ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่เจอ ดังนั้น ต้องมีสติและระวังตัวอยู่เสมอนะคะ

ประสบการณ์ Shopping @King Power ช็อปอย่างไรให้คุ้ม

สวัสดีค่าาาาา ทริปนี้เป็นทริปดองไว้ 1 ปีเต็มพอดี (ดองทริปละปีตลอดดดด) ไปมาตั้งแต่เดือนมีนาคม 2016 แต่เพิ่งมีโอกาสมาเล่าประสบการณ์ให้ฟังค่ะ 
ทริปนี้เป็นการไปโตเกียวครั้งที่ 3 ของเรา 
อย่างที่เห็นกันในบล็อกที่ผ่านๆมา ก่อนหน้านี้เราเคยไป Backpack กับเพื่อนมาแล้ว และครั้งนี้ มีนาคม 2016 ก็ได้ไปอีกครั้ง แต่ความพิเศษของทริปนี้อยู่ตรงที่เราไปกับทัวร์ครึ่งหนึ่งค่ะ แล้วขอเลื่อนตั๋วอยู่ต่อเองอีกส่วนหนึ่งค่ะ เดี๋ยวจะมาเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียการท่องเที่ยวทั้งแบบทัวร์และไปเองแบบแบ็คแพ็คสำหรับเราให้ฟังกัน

แต่ก่อนที่จะไปสู่การท่องเที่ยวที่ญี่ปุ่นกัน ด่านที่เราต้องผ่านก็คือ King Power ค่ะ ซึ่งทริปนี้เป็นทริปที่อยู่ในช่วงที่เราสามารถใช้สิทธิวันเกิดของบัตรสมาชิก King Power ได้พอดี ช็อปคุ้มแค่ไหน จะมาเล่าให้ฟังค่ะ

--------------------------------------


ปกติเวลาไปต่างประเทศ ด่านแรกที่ทดสอบกิเลสของเราได้เป็นอย่างดี คือ ที่นี่เลยค่ะ 

“KING POWER DUTY FREE”

ก่อนอื่นเลยมารู้จัก King Power กันก่อน 
King Power เป็น Duty Free นั่นหมายความว่า สินค้าของที่นี่จะเป็นสินค้าปลอดภาษีอากรค่ะ 
นอกจากที่เราคุ้นเคยกันดีแบบที่สนามบินอย่างดอนเมืองหรือสุวรรณภูมิแล้ว King Power (ในกรุงเทพฯ) ยังมีอีก 2 ที่ คือ รางน้ำและศรีวารี ซึ่งเราสามารถเข้าไปเดินเล่นซื้อของกันได้ก่อนที่จะบินไปต่างประเทศเลยค่ะ หรือแม้แต่คนที่ไม่มีไฟล์ทบินไปต่างประเทศก็สามารถเข้าไปเดินเล่นกันได้ 
แต่ถ้าไม่มีไฟล์ทบินไปต่างประเทศ สินค้าที่จะซื้อออกมาได้นั้นจะต้องเป็นสินค้าป้ายฟ้าเท่านั้นค่ะ 
สินค้าป้ายฟ้าที่สามารถนำกลับได้ทันที ก็เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า กล้องถ่ายรูป อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ขนม ของที่ระลึก อะไรประมาณนี้ค่ะ

และสำหรับ King Power นอกสนามบินที่เราไปบ่อยๆนั้น คือ ที่นี่เลยค่ะ “King Power Downtown Complex” หรือ “King Power รางน้ำ” นั่นเองค่ะ

การเดินทาง

การเดินทางมาที่นี่ ง่ายแสนง่าย สะดวกสุดๆ แค่เพียงนั่งรถไฟฟ้า BTS มาลงที่สถานีอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ (Victory Monument) 
จากนั้นสามารถไปรถบริการของ King Power ได้ จุดขึ้นรถอยู่ที่ด้านข้างของห้างเซ็นจูรี่ฝั่งซอยรางน้ำหรือถ้าใครไม่อยากรอรถ จะเดินไปก็ได้ค่ะ อยู่ในระยะเดินได้ ไม่ไกลค่ะ

การซื้อสินค้า

การมาซื้อสินค้าที่รางน้ำหรือศรีวารี สามารถมาซื้อได้ล่วงหน้าก่อนวันเดินทาง 60 วัน
โดยเมื่อซื้อสินค้า (ที่ไม่ใช่สินค้าป้ายฟ้า) เสร็จแล้ว เราจะต้องไปรับสินค้านั้นที่จุด pick-up counter ที่สนามบินในวันเดินทางค่ะ (จุด pick-up counter จะอยู่ในอาคารผู้โดยสารขาออก ซึ่งเราจะต้องเช็คอินและดำเนินการผ่าน ตม. เพื่อออกนอกประเทศแล้ว จึงจะสามารถเข้ามาในส่วนนี้ได้)

ข้อดีของการมาซื้อของ King Power ที่รางน้ำก่อนแทนที่จะไปซื้อที่สนามบินเลย
ข้อแรกเลยคือเรามีเวลาค่ะ เราสามารถเดินดูของได้เรื่อยๆแบบไม่ต้องเร่งรีบมาก (ช่วงที่ผ่านมา บางทริปของเรานี่ อย่าว่าแต่ซื้อของเลย กว่าจะผ่าน ตม. ได้ ก็แทบจะวิ่งไปที่เกทแล้วค่ะ เวลาแวะซื้อของนี่ไม่มีเลย อย่าว่าแต่ค่อยๆเดินดูสินค้าเลยค่ะ เพราะฉะนั้น สายช็อปอยากมีเวลาละเลียดเดินแนะนำให้มาที่นี่ก่อนค่ะ ค่อยๆเดิน ค่อยๆช็อปกันซะให้พอ จะได้ไม่ต้องเร่งรีบในวันเดินทาง
หรือหากใครไม่สะดวกเดินทางมาที่นี่ก่อน เดี๋ยวนี้ King Power มี website ให้ช็อปออนไลน์ด้วยค่ะ สะดวกไปอีก >> http://www.kingpoweronline.com

ข้อที่สอง คือ เราสังเกตว่า สินค้าที่นี่จะมีหลากหลายแบรนด์มากกว่าที่สนามบิน โดยเฉพาะที่ดอนเมือง รู้สึกเลยว่าสินค้าจะน้อยกว่าที่นี่มาก (รางน้ำว่าเยอะแล้ว แต่เค้าเคลมว่าที่ที่ใหญ่ที่สุดคือ ศรีวารี นะคะ ซึ่งยังไม่มีโอกาสได้ไปสักที ถ้ามีโอกาสได้ไปจะมาเล่าให้ฟังค่ะ)
และข้อสาม ข้อสำคัญ ที่ทำให้ทริปนี้ เราต้องมาที่นี่ก่อน คือ มาเพื่อใช้สิทธิวันเกิด cash back 30% (เดี๋ยวจะพูดถึงต่อไปค่ะ)

แต่อย่างไรก็ตาม การมาซื้อสินค้าที่นี่มีข้อเสียอยู่อย่างหนึ่งถ้าเทียบกับการซื้อที่สนามบิน คือ เราจะต้องไปรับสินค้าในวันเดินทางออกนอกประเทศไทย ซึ่งหมายความว่าเราจะต้องนำติดตัวไปต่างประเทศด้วย ไม่สามารถฝากไว้ที่สนามบินก่อน แล้วค่อยมารับตอนขากลับเข้าประเทศได้อย่างการซื้อสินค้าที่สนามบินดอนเมืองหรือสุวรรณภูมิ
แตกต่างจากปกติ หากซื้อสินค้าใน King Power ที่สนามบินดอนเมืองหรือสุวรรณภูมิ และสินค้ามีมูลค่ารวมไม่เกิน 20,000 บาท จะสามารถฝากไว้ที่สนามบิน แล้วค่อยมารับในวันที่เรากลับมาถึงประเทศไทยได้ โดยที่เราไม่ต้องแบกไปต่างประเทศด้วยค่ะ (สะดวกเนอะ)

สำหรับสิ่งที่เราจะต้องมีเมื่อมาช็อปที่นี่มีอยู่ 3 อย่างค่ะ
1. ข้อมูลพาสปอร์ต - ไม่จำเป็นต้องมีพาสปอร์ตตัวจริงมาด้วยนะคะ แค่จำเลขพาสปอร์ตให้ได้หรือมีไฟล์สำเนาหรือรูปพาสปอร์ตติดไว้ในโทรศัพท์มือถือก็ได้ค่ะ
2. ข้อมูลไฟล์ทบิน - จำไฟล์ทบินกับวันที่บินได้ก็โอเคแล้วค่ะ ไม่จำเป็นต้องมีบอร์ดดิ้งพาสหรือเอกสารการจองที่นั่งมาด้วย 
และ 3. เงิน!!! (สำคัญมาก 555+)

โดยเมื่อมาถึง King Power รางน้ำแล้ว เราจะต้องนำข้อมูลพาสปอร์ตและไฟล์ทบินไปลงทะเบียนที่จุดลงทะเบียนก่อนให้เรียบร้อยก่อนค่ะ จากนั้นก็เริ่มช็อปได้เลย !!!!


อ๊ะ! แต่ก่อนไปช็อป ขอพูดถึงระบบสมาชิกของ King Power สักหน่อยค่ะ (เพราะนี่คือสาเหตุหลักให้เราต้องดั้นด้นมาช็อปที่รางน้ำก่อนล่วงหน้า)

ระบบสมาชิกของ King Power



ระบบสมาชิกของ King Power เพิ่งมีการเปลี่ยนใหม่เมื่อ 2-3 ปีก่อน 
ปัจจุบันระบบสมาชิกของ King Power จะแบ่งออกเป็น Navy, Scarlet, Onyx, Crown, Vega 
แต่ละระดับก็จะมีส่วนลดและสิทธิพิเศษที่แตกต่างกันค่ะ รวมถึงเงื่อนไขในการได้บัตรแต่ละระดับก็แตกต่างกันด้วย
รายละเอียดตามนี้ http://www.kingpower.com/th/membership/membercard

แต่สำหรับบัตรที่เราถืออยู่ปัจจุบัน จะเป็นบัตรอีกแบบซึ่งพนักงานเรียกว่า “Jade” ค่ะ บัตรนี้น่าจะเป็นบัตรที่นำมาใช้เฉพาะกาลเพื่อเปลี่ยนผ่านจากระบบสมาชิกแบบเก่าไปเป็นระบบสมาชิกแบบใหม่ 



บัตรใบนี้ของเราลดได้ 10% ตามสถานะสมาชิกเดิมที่เคยได้ค่ะ (ถ้าเดิมใครที่ลดได้มากกว่า 10% ก็ยังคงได้ส่วนลดตามเดิมที่เคยได้ค่ะ)
โดยบัตรนี้จะมีอายุ 2 ปี (บัตรใบนี้ของเราเพิ่งหมดอายุตอนมกราคม 2017 นี่เองค่ะ) 
เมื่อครบ 2 ปีแล้ว จากนั้นจะเข้าสู่ระบบสมาชิกแบบใหม่โดยดูจากจำนวนกะรัต (คล้ายคะแนนสะสม) หรือยอดการใช้จ่ายของเราในช่วง 2 ปีระหว่างอายุบัตร
ถ้ามียอดกะรัตเกิน 1,000 กะรัตหรือมีการใช้ง่ายเกิน 100,000 บาท ก็จะได้บัตรเป็น Scarlet (ได้ส่วนลด 10%)
ถ้ามากกว่านี้ก็ไล่ขึ้นไปเรื่อยเป็น Onyx, Crown หรือ Vega ค่ะ
แแต่ถ้าน้อยกว่านี้ ก็จะได้รับเป็นบัตร Navy ค่ะ (ส่วนลด 5%)

การเป็นสมาชิก King Power นอกจากจะมีส่วนลดและสิทธิพิเศษหลายอย่างแล้ว สิทธิพิเศษอย่างหนึ่ง ซึ่งคุ้มมากๆ คือ สิทธิวันเกิด (Birthday Celebration)

สิทธิวันเกิด (Birthday Celebration)

สิทธิวันเกิดนั้นจะสามารถใช้ได้ภายใน 3 เดือน โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ของเดือนเกิด
เช่น เกิดวันที่ 16 มกราคม สามารถใช้สิทธิวันเกิดได้ตั้งแต่ วันที่ 1 มกราคม - 31 มีนาคม
และการใช้สิทธินี้สามารถใช้ได้เลย โดยเพียงการแสดงบัตรสมาชิก King Power ไม่ต้องใช้การ์ดอวยพรวันเกิดที่ King Power ส่งไปให้ในเดือนเกิดนะคะ อันนั้นเค้าแค่ส่งไปอวยพรเราและแจ้งสิทธิวันเกิดเฉยๆ ไม่เกี่ยวกับการใช้สิทธิค่ะ

สิทธิวันเกิด
ต่อที่ 1 คือ จะได้รับ Cash back 30% ของมูลค่าสินค้า เมื่อซื้อสินค้าราคาปกติตั้งแต่ 100 บาทขึ้นไป 1 ชิ้นที่ King Power รางน้ำ ศรีวารี พัทยา หรือภูเก็ต
และต่อที่ 2 จะได้รับ Cash Back 25% ของมูลค่าสินค้า เมื่อซื้อสินค้าที่ King Power ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ดอนเมือง หรือภูเก็ต
ทั้งนี้ การจะใช้สิทธิต่อที่ 2 ได้นั้น จะต้องใช้ต่อที่ 1 แล้วเท่านั้น ถ้าหากไม่มีการใช้สิทธิต่อที่ 1 ที่รางน้ำ ศรีวารี พัทยา หรือภูเก็ต ก็จะไม่สามารถใช้สิทธิต่อที่ 2 ที่สนามบินได้

ข้อสังเกต

1. การใช้สิทธิวันเกิดนั้นจะใช้ได้เฉพาะกับบางแบรนด์เท่านั้นนะคะ ไม่ใช่ว่าสามารถใช้กับทุกอย่าง ต้องเช็คด้วยว่าของที่เราต้องการซื้อนั้น แบรนด์นั้นสามารถใช้สิทธิวันเกิดได้หรือไม่
สำหรับกลุ่มเครื่องสำอางรู้สึกว่าจะใช้ได้เกือบทุกแบรนด์ค่ะ ....แต่จริงๆ สิทธินี้ใช้กับพวกกล้องหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ราคาสูงๆน่าจะคุ้มกว่า

2. ต้องเป็นการใช้กับสินค้า "1 ชิ้น" 
แค่เพียง 1 ชิ้นเท่านั้น แต่ในที่นี้รวมถึงพวกสินค้าที่จัดชุดหรือจัดเป็นเซ็ทด้วยนะคะ ถ้ามีป้ายราคาเดียวนับเป็น 1 ชิ้นค่ะ

3. cash back ที่ได้คืนนี้จะอยู่ในรูปของ e-purse
เมื่อใช้สิทธิวันเกิดแล้ว cash back ที่จะได้คืนนี้ เราจะได้คืนเป็น e-purse เข้าในบัตรสมาชิก โดย e-purse ที่ได้จากสิทธิวันเกิดนี้จะมีอายุอยู่แค่ 3 เดือน (เพราะฉะนั้น ถ้าใครใช้สิทธิวันเกิดแล้วมี e-purse อยู่ รีบๆใช้นะคะ ถ้ารู้ตัวว่าจะไม่มีบินใน 3 เดือน ก็ใช้ให้หมดในทริปนั้นได้เลย)

และในการใช้ e-purse นั้น ก็คล้ายกับการใช้สิทธิวันเกิด คือ ใช้ได้กับเฉพาะบางแบรนด์เท่านั้น บางแบรนด์ก็ใช้ไม่ได้ (สำหรับกลุ่มเครื่องสำอาง ถ้าจะไม่ผิดมี Chanel กับ Dior ที่ใช้ไม่ได้ค่ะ)

ทั้งนี้ บางแบรนด์อาจจะใช้สิทธิวันเกิดได้ แต่ไม่รับ e-purse หรือบางแบรนด์ก็ไม่รับสิทธิวันเกิด แต่รับ e-purse ก็ได้ค่ะ 
เราต้องเช็คให้ดีว่าสินค้าที่เราจะซื้อนั้น สามารถใช้สิทธิวันเกิดหรือ e-purse ได้หรือไม่
(ในเบื้องต้น สามารถสอบถามจาก facebook ของ King Power ได้ค่ะ หรือจะสอบถามทางโทรศัพท์ก็ได้)

4. เราต้องซื้อสินค้าที่เราจะใช้สิทธิวันเกิดในราคาปกติ (จะไม่ได้รับส่วนลดตามสิทธิสมาชิก)
แต่ในส่วนสินค้าที่เราจะใช้ e-purse ที่เราได้รับจากสิทธิวันเกิดนั้นซื้อ เราสามารถใช้ส่วนลดตามหน้าบัตรสมาชิกได้ก่อนตามปกติค่ะ

5. สถานที่ใช้สิทธิต่อที่ 1 จะเป็น King Power ที่อยู่นอกสนามบิน
ส่วนสถานที่ใช้สิทธิต่อที่ 2 จะเป็น King Power ที่อยู่ในสนามบิน

6. ถ้าไม่ได้ใช้สิทธิต่อที่ 1 ที่รางน้ำ ศรีวารี พัทยา หรือภูเก็ตก่อน จะขอไปใช้สิทธิต่อที่ 2 25% ที่สนามบินไม่ได้
หรือพูดในอีกแง่หนึ่งคือ สิทธิวันเกิดนั้นจำเป็นต้องมีการใช้ที่ King Power นอกสนามบินก่อนเสมอ ไม่เช่นนั้นก็เสมือนไม่ได้สิทธิใดๆเลย

ราคาและประเภทสินค้า

ราคาสินค้าใน King Power นั้น อย่างอื่นเราไม่สันทัด แต่กลุ่มเครื่องสำอางจะถูกกว่าเคาน์เตอร์ในห้างปกติประมาณ 10-20% (ส่วนใหญ่น่าจะอยู่ที่ 15% ค่ะ) 
บัตรสมาชิก King Power ลดได้อีก 5-20% ตามหน้าบัตร
และยังอาจมีโปรโมชั่นอื่นๆอีก (บางครั้ง เราเคยเจอช่วงโปรโมชั่นแบบลดทันที 20% แม้หน้าบัตรเราจะลดได้แค่ 10% ก็ตาม) 
รวมๆแล้วก็ต่างกันอยู่พอสมควรค่ะ

ส่วนลดนั้นจะลดได้เท่าไร ขึ้นอยู่กับแต่ละแบรนด์กำหนดด้วย 
บางแบรนด์อาจมีการกำหนดว่ามีส่วนลดสูงสุด 10% ก็ต้องเป็นไปตามนั้น ต่อให้บัตรสมาชิกที่เราถืออยู่จะได้ส่วนลดสูงสุด 20% แต่ถ้าแบรนด์กำหนดว่าสูงสุดได้ 10% ก็ได้แค่ 10% ค่ะ 

นอกจากนี้ ในกลุ่มของเครื่องสำอางนั้น King Power อาจมีแบรนด์ที่ในห้างอาจไม่มี เช่น Giorgio Armani แต่ในขณะเดียวกันก็อาจไม่ได้มีทุกแบรนด์ที่ในห้างมี 
หรือบางทีแบรนด์เดียวกันแต่ก็อาจไม่ได้มีสินค้าทุกรุ่นอย่างที่ในห้างมี แต่ที่ King Power ก็ชอบมีสินค้าจัดเซ็ทที่ exclusive เฉพาะ King Power ซึ่งแน่นอนว่าราคาจะคุ้มกว่าการซื้อแยกชิ้นค่ะ

-------------------------------------------

กลับมาที่การช็อปปิ้งของเรา

การเดินทางทริปนี้ของเราอยู่ในช่วงที่เราสามารถใช้สิทธิวันเกิดของการเป็นสมาชิก King Power ได้พอดี

ขั้นแรก เราทำการลิสต์รายการของที่เราอยากได้และเช็คราคาคร่าวๆก่อน รวมถึงเช็คว่าแบรนด์นั้นสามารถใช้สิทธิวันเกิดได้หรือไม่ด้วย โดยราคาสินค้าใน King Power นั้นอาจดูที่เว็บไซต์ kingpoweronline หรือถามจากทาง facebook ก็ได้ค่ะ แอดมินของเพจจะคอยตอบอยู่ >>> https://www.facebook.com/Kingpowerofficial/

แนะนำว่าสินค้าที่จะใช้สิทธิวันเกิด 30% ควรเป็นของที่แพงที่สุดที่เราจะซื้อนะคะ
สำหรับเราในครั้งนี้ เราตั้งใจจะซื้อ Shiseido Ultimune Power Infusion Concentrate แบบแพ็คคู่ ราคา 9610 บาท ให้คุณแม่

ดังนั้น ก่อนบิน เราก็ตรงไปที่ King Power รางน้ำ เพื่อมาใช้สิทธิวันเกิด 30% กับเจ้าสิ่งนี้ 
ตอนแรกตั้งใจไปซื้ออย่างเดียวเลยค่ะ ไปเพื่อใช้สิทธิโดยเฉพาะ ส่วนอย่างอื่นตั้งใจไปซื้อที่สนามบิน แล้วจะฝากไว้รับตอนขากลับ จะได้ไม่ต้องแบกไปต่างประเทศด้วย 

แต่ตอนไปจ่ายเงินนั้นเอง......
แคชเชียร์: คุณลูกค้าคะ ตอนนี้มีโปรโมชั่น ซื้อ cash card 10,000 ได้รับ gift card อีก 1,000 บาทนะคะ
เรา: จะใช้สิทธิวันเกิด 30% น่ะค่ะ (คิดในใจ เออ นี่ก็ซื้อ 9พันกว่าบาทแล้ว ขาดอีกนิดหน่อยเอง แต่คงใช้กับสิทธิวันเกิดไม่ได้หรอกมั้ง)
แคชเชียร์: cash card นี้สามารถใช้กีบสิทธิวันเกิดได้ด้วยนะคะ

ปั้ง!

รออะไรละคะ ฝากตะกร้าของไว้ที่แคชเชียร์ตรงนั้น แล้วตรงไปซื้อ cash card อย่างไว 

พอถึงห้องที่จะเข้าไปซื้อ cash card แวบแรกแอบตกใจ ทำไมคนเยอะจัง ตรงนี้จะมีพนักงานกดบัตรคิวให้กับเราค่ะ จากนั้นก็นั่งรอไปยาวๆ มีโซฟาให้รออย่างดีค่ะ
ระหว่างนั่งรอเพลินๆ ก็เหลือบไปเห็น..... โปรฯบัตรเครดิดค่าาาา 
ถ้าใช้บัตรเครดิตของ SCB ซื้อ cash card 10,000 จะได้รับ gift card เพิ่มเป็น 1,500 บาท (แถมถ้าจำไม่ผิด ถ้าซื้อตามเงื่อนไขจะได้รับเครดิตเงินคืนอีก 2-3% ด้วยค่ะ)
ดังนั้น รูดบัตรไป 10,000 เราเลยได้ cash card และ gift card มารวมมูลค่า 11,500 บาท 

คุ้นๆว่า มีเงื่อนไขการใช้ gift card 1,500 บาทอยู่ เหมือนกับว่าต้องใช้ที่ King Power นอกสนามบิน 
ดังนั้น เราเลยจะต้องใช้ให้หมดทั้ง 11,500 ค่ะ (พูดเหมือนเยอะ แต่อย่างเดียวก็ 9,xxx แล้ว)

สรุปวันนี้ได้ของมา 2 ชิ้นค่ะ
- Shiseido Ultimune Power Infusion Concentrate Duo set ราคา 9,610 บาท (ราคาปกติ)
ใช้สิทธิวันเกิด 30% เลยได้ e-purse คืนในบัตรตุนไว้ก่อน 2,883 บาท
- Biotherm Life Plankton 200ml ราคา 2560 บาท -10% เหลือ 2304 บาท
รวมราคาที่ต้องจ่าย 11,914 บาท
แต่เรามี cash card และ gift card อยู่ 11,500 บาท เพราะฉะนั้น จ่ายเพิ่มอีก 414 บาทเท่านั้นค่ะ
แถมทั้ง Shiseido และ Biotherm ยังแถม sample มาให้อีกค่ะ




เห็นมั้ยคะ admin เพจก็คอยตอบคำถามให้อย่างรวดเร็ว แคชเชียร์ก็น่ารัก มีแนะนำโปรโมชั่น(สุดคุ้ม)ให้ลูกค้าด้วย BA ก็น่ารัก แถม sample ให้โดยไม่ต้องขอ หลายแบรนด์คอยดูแลให้คำแนะนำอย่างดีเลยค่ะ (แต่ BA บางแบรนด์ที่รางน้ำนี่ก็มีเหมือนกันที่ดูไม่ค่อยสนใจลูกค้าคนไทยเท่าไหร่ สนแต่คนจีน)

…………...........................

วันเดินทาง
พอถึงสนามบิน ไปช็อปก่อนค่ะ ของค่อยไปเอาของที่ซื้อไว้แล้วทีหลัง
เรายังเหลือทั้งสิทธิวันเกิดต่อที่ 2 25% และ e-purse ในบัตรอีก 2,883 บาท งานนี้คุณแม่เลยฝากซื้อของเพิ่มอีกด้วยค่ะ

สรุปของที่ซื้อที่สนามบินสุวรรณภูมิ 
- Shiseido Glow Revival Serum ราคา 4165 (ราคาปกติ)
ใช้สิทธิวันเกิด 25% ได้ e-purse คืนในบัตรมาอีก 1041.25 บาท (รวมตอนนี้ เรามี e-purse อยู่ 2,883+1,041.25 = 3,924.25 บาท)

- Shiseido Ultimune Power Infusion Eye Concentrate ราคา 2,295 บาท -10% = 2,065.50
- Shu light bulb UV compact foundation ราคา 1420 บาท -10% = 1,278
- Shu light bulb UV compact case ราคา 480 บาท -10% = 432
- Shu cushion puff ราคา 170 บาท -10% = 153
รวม 4 อย่างนี้ = 3,928.50 บาท

เราใช้ e-purse ที่มีอยู่ 3,924.25 จ่ายค่ะ 
แล้วจ่ายเงินเพิ่มอีก 4.25 บาท !!!
(ฟินมั้ยละคะ สาวๆน่าจะเข้าใจความรู้สึกนี้ดี)
สังเกตนะคะ ส่วนที่เราใช้ e-purse จ่ายนี้ เราสามารถจะได้ส่วนลดตามหน้าบัตรสมาชิกด้วย

สิริรวมแล้วงานนี้ ด้วยอานิสงค์ของโปรโมชั่น cash card ของบัตรเครดิต SCB และส่วนลดและสิทธิวันเกิดของบัตรสมาชิก King Power
งานนี้เราจ่ายเงินไปจริง 10,000 + 414 + 4,165 + 4.25 = 14,583.25 บาท
ได้ของมามูลค่า 20,700 บาท (ตามราคาของ King Power ซึ่งถูกกว่าข้างนอกประมาณ​10-20% อยู่แล้ว) 
ประหยัดไป 6พันกว่าบาทเลยทีเดียว 
หรือถ้าเทียบกับซื้อข้างนอกก็ประหยัดไปเป็นหมื่นเลยทีเดียวค่ะ
คุ้มสุดใจค่ะ ฟินสุดยอดค่ะ 

กระเป๋า(เงิน)เริ่มเบาตั้งแต่ยังไม่ก้าวขาออกจากประเทศไทย
ยังไม่ทันไปไหนเลย



ป.ล. เจ้าถุงแดงนั่น Shiseido ที่รางน้ำแถมมาให้ค่ะ ข้างในมี sample อีกชุดนึงด้วยค่ะ 
Boitherm กล่องเล็กๆ 2 กล่องก็เช่นกันค่ะ ที่รางน้ำแถมมาให้ค่ะ