11 มิถุนายน 2561

All about shopping ไปญี่ปุ่นซื้ออะไรดี tax free คืออะไร

ก่อนจะไปว่าอะไรน่าซื้อน่าช็อป เรามาทำความรู้จักกับระบบ Tax Free กันก่อนค่ะ 

Tax Free


ที่ญี่ปุ่นระบบในการยกเว้นภาษีของสินค้าให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติ จะเป็นแบบคือ ​tax free คือ ทางร้านค้าจะทำการยกเว้นภาษีให้เราเลย ไม่ต้องไปดำเนินการขอคืน (refund) ที่สนามบิน

แต่ที่เจอมาก็จะมีอยู่ 2 แบบค่ะ

✿ แบบแรก คือ เวลาจ่ายเงินที่เคานท์เตอร์ แคชเชียร์จะทำเรื่องยกเว้นภาษีให้เราทันทีเลย ดังนั้น ยอดที่เราจ่ายเงินจะเป็นยอดที่หักภาษีออกเรียบร้อยแล้ว >>> ส่วนใหญ่ร้านค้าที่เจอจะเป็นแบบนี้ค่ะ 

✿ แบบที่สอง คือ เราจะต้องจ่ายเงินเต็มจำนวน (รวมภาษี) ไปก่อน แล้วไปทำเรื่องขอคืนเงินที่อีกเคานท์เตอร์หนึ่งแยกออกมา >>> เคยเจอที่ดองกี้บางสาขาค่ะ

สินค้าที่ขอยกเว้นภาษีได้

ในอดีต จะขอยกเว้นภาษีได้ในกรณีที่ซื้อสินค้าราคา 10,000 เยนขึ้นไป และสินค้านั้นจะต้องไม่ใช่สินค้าใช้แล้วหมดไป กล่าวคือ พวกขนม เครื่องสำอาง ขอยกเว้นไม่ได้
แต่ปัจจุบันนับแต่ 1 ตุลาคม 2557 เป็นต้นมา ญี่ปุ่นได้ขยายขอบเขตของการยกเว้นภาษีออกไปครอบคลุมถึงสินค้าแบบ cosumable อย่างพวกเครื่องสำอางและขนมด้วย
website หลัก << http://tax-freeshop.jnto.go.jp/eng/index.php >>

***และล่าสุดยิ่งกว่า หลัง 1 พฤษภาคม 2559 ญี่ปุ่นได้ปรับลดการขอยกเว้นภาษีสินค้าทุกกรณีเป็นเท่ากันที่ 5,000 เยนขึ้นไป พูดง่ายๆคือ ต่อไปนี้ พวกเสื้อผ้า กระเป๋า กันพลา จากเดิมที่ต้องซื้อ 10,000 เยนขึ้นไปถึงสามารถขอยกเว้นภาษีได้ ตอนนี้ซื้อเพียง 5,000 เยนก็สามารถขอยกเว้นภาษีได้แล้วค่ะ  

cr: http://tax-freeshop.jnto.go.jp/eng/index.php

โดยสินค้าทั้งสองประเภทนี้จะนำมาคิดรวมกันไม่ได้นะคะ ต้องคิดแยกกัน
ถ้าเราซื้อทั้งขนม เครื่องสำอาง เสื้อผ้า รองเท้า ในร้านเดียวกัน จะต้องคิดแยกกันคนละส่วน คือ
ขนมและเครื่องสำอางเป็น consumable item ราคารวมกันต้องมากกว่า 5,000 เยน ถึงจะขอยกเว้นภาษีได้ ถ้าไม่ถึงก็ขอไม่ได้ค่ะ ไม่สามารถนำไปรวมกับสินค้าทั่วไป (general item) อย่างเสื้อผ้าหรือรองเท้าได้



ความลำบากมันเลยอยู่ตรงที่การแยกว่าสินค้าแบบไหนเป็น general item และแบบไหนเป็น consumable item นี่แหละค่ะ 
สำหรับบางร้านค้าอาจไม่ค่อยมีปัญหา เพราะขายสินค้าแค่ประเภทเดียวอยู่แล้ว 
แต่บางร้านค้าที่ขายสินค้าหลายๆประเภทรวมกันมันจะมีความงงงวยหน่อยๆค่ะ เวลาซื้อต้องตั้งสติ คิดให้ดีว่ามันเกิน 5,000 รึยัง

ที่เคยเจอและมึนมาก คือ ตอนซื้อของที่ Loft ค่ะ 

เครื่องเขียนบางอย่าง เช่น ดินสอ ปากกา จะเป็น general item
แต่บางอย่าง เช่น ไส้ดินสอ ไส้ปากกา จะเป็น consumable item ค่ะ
นี่สงสัยเหมือนกันว่า ยางลบเป็นอะไร? แต่ส่วนตัวคิดว่าน่าจะเป็น consumable item รึเปล่า เพราะใช้แล้วมันหมดไปได้
ตอนแรกเราคิดว่าเกณฑ์แยกน่าจะดูว่าอะไรใช้แล้วมันหมดไปได้รึเปล่า ไม่ยากเท่าไหร่ แต่การซื้อของครั้งนี้ทำให้เราไม่มั่นใจค่ะ
เพราะสินค้าอย่าง post-it เหมือนกัน แต่ต่างรุ่นต่างยี่ห้อ แคชเชียร์ก็แยกใส่คนละตะกร้าค่ะ บางอันเป็น general item บางอันเป็น consumable item จนเรางงไปหมด เลยเลิกทำความเข้าใจแล้วปล่อยให้เคชเชียร์คิดเงินไปค่ะ เท่าที่สังเกตคือมันน่าจะมีเขียนบอกหรือมีสัญลักษณ์อะไรบางอย่างที่บอกได้อยู่บนแพ็คเกจสินค้าค่ะ เพราะตอนที่แคชเชียร์แยกว่าสินค้าไหนเป็นประเภทไหน เค้าจะพลิกอ่านที่ด้านหลังก่อน

ความคิดเห็นส่วนตัวของเรา เราคิดว่าในอนาคตอาจต้องทำให้ง่ายขึ้น คือ รวมกันไปได้เลยค่ะ


++ UPDATE 1/07/2018 ++
ล่าสุดสดๆร้อนๆ ญี่ปุ่นปรับหลักเกณฑ์การยกเว้นภาษี (Tax Free) สำหรับนักท่องเที่ยวให้ง่ายขึ้น โดยจะไม่มีการแยกประเภทอีกต่อไป (ตามคาดเลย!) 
แต่ข้อเสียคือจากเดิมสินค้าพวกเสื้อผ้าหรือรองเท้าที่เคยสามารถแกะใช้ได้เลย ต่อไปอาจจะถูกซีลเช่นเดียวกับกลุ่มขนม เครื่องสำอาง ห้ามแกะใช้ ...อันนี้ต้องรอดูกันต่อไปค่ะ 



***** ราคาสินค้าที่ญี่ปุ่นจะมี 2 ราคา คือ ราคาก่อนรวมภาษี กับราคาที่รวมภาษีแล้ว ต้องสังเกตให้ดีค่ะ (ไม่เหมือนประเทศไทย ถ้าในไทย ราคาที่เห็นมักเป็นราคาที่รวมภาษีเรียบร้อยแล้ว)
โดยมากราคาที่เป็นเลขกลมๆ 600 เยน 1,000 เยน 4,500 เยน แบบนี้จะเป็นราคาที่ยังไม่ได้รวมภาษีค่ะ

****** VAT ของญี่ปุ่น ปัจจุบันอยู่ที่ 8% ค่ะ (และในอนาคตประมาณปี 2019 มีแนวโน้มว่าจะขึ้นเป็น 10%)


ร้านค้าที่สามารถขอยกเว้นภาษีได้

ข้อพึงตะหนักไว้คือร้านค้าที่ขอ tax free ได้ไม่ใช่ทุกร้านนะคะ
สำหรับร้านที่เข้าร่วมรายการยกเว้นภาษี สามารถสังเกตได้จากสัญลักษณ์ TAX Free แบบนี้ได้เลยค่ะ ส่วนใหญ่จะติดอยู่หน้าร้านชัดเจนค่ะ 


ร้านที่คนไทยนิยมไปมักจะให้ Tax free อยู่แล้ว เช่น พวกร้านขายยาสาขาใหญ่ๆของ Matsumoto Kiyoshi, Sun drug (ย้ำว่าสาขาใหญ่ๆหรือสาขาที่อยู่ในย่านท่องเที่ยวนะคะ เคยเจอสาขาเล็กๆ ไม่ได้อยู่ในย่านที่นักท่องเที่ยวชอบไปกันก็ทำไม่ได้ค่ะ), ร้านดองกี้, Yodobashi, Big Cameara หรือห้างสรรพสินค้าต่างๆ
อย่าง Disney store เมื่อก่อนก็ไม่มี tax free ค่ะ แต่ตอนนี้หลายสาขา ทำ tax free ได้แล้ว (ดีใจมากก ซื้อทุกรอบที่ไป)
ส่วนที่ยังไม่ยอม tax free สักทีก็คือ ABC mart ค่ะ (ไม่แน่ใจว่าทุกสาขามั้ยนะคะ แต่ที่เราเจอมา ไม่เคยมีให้ tax free ได้เลย)

ขั้นตอนการขอยกเว้นภาษี


อย่างที่บอกไปข้างต้นค่ะ ที่เจอมาจะมี 2 แบบ คือ

✿ แบบแรก ร้านจะมีเคานท์เตอร์แยกระหว่างจ่ายเงินแบบธรรมดา (เสียภาษี) กับเคานท์เตอร์ tax free
สำหรับคนที่ต้องการ tax free ก็ต้องไปเคานท์เตอร์ tax free ค่ะ 
แล้วเวลาคิดเงิน ถ้าเราซื้อสินค้าถึงเงื่อนไขที่จะได้ tax free พนักงานจะคิดเงินเป็นยอดที่ยกเว้นภาษีให้เลย เราก็จ่ายไปตามนั้น เท่านี้เป็นอันเรียบร้อยค่ะ

✿ แบบที่สอง เราสามารถคิดเงินที่เคานท์เตอร์คิดเงินไหนก็ได้ค่ะ และจะถูกคิดเงินแบบรวมภาษีไปด้วย

จากนั้นค่อยเอาใบเสร็จ สินค้าที่ซื้อ และพาสปอร์ต มาทำเรื่องขอ refund tax ที่อีกเคานท์เตอร์หนึ่ง

โดยไม่ว่าแบบไหน เอกสารสำคัญที่ต้องใช้ในการทำ tax free เสมอ คือ พาสปอร์ต ค่ะ

พอทำเรื่อง tax free แล้ว พนักงานจะมีเอกสารให้เราเซ็น เราก็เซ็นเอกสารไปให้ลายเซ็นเหมือนในพาสปอร์ต

เอกสารส่วนหนึ่ง ทางร้านค้าจะเก็บเอาไว้เอง
อีกส่วนหนึ่ง จะติดไว้ในพาสปอร์ตของเราค่ะ - - - ส่วนนี้ ตอนขาออกจากประเทศญี่ปุ่น ที่สนามบิน หลังเราผ่าน security check ไปแล้ว ตรงใกล้ๆ ตม. ให้สังเกตบริเวณรอบๆค่ะ มันจะมีเคานท์เตอร์ของศุลกากร (Custom) อยู่ อันนี้เราเคยเจอทั้งแบบที่อยู่ตรงก่อนเข้า ตม. และหลังจากที่ผ่าน ตม. ไปแล้วค่ะ
ให้เราดีงเอกสารนี้ออก แล้วเอาไปใส่ไว้ในตะกร้าที่วางอยู่บนเคานท์เตอร์ Custom ค่ะ

สำหรับคนลืมดึงหรือไม่ทราบจนกลับมาไทยแล้ว แล้วไม่รู้จะทำยังไง ให้ดึงออกเองได้เลยค่ะ 
รอบแรกที่ไปญี่ปุ่น เราก็งงๆก๊งๆ ไม่รู้ว่าต้องดึงออกไปให้ Custom จนกลับมาไทย จะดึงทิ้งเองก็ไม่กล้า ไม่รู้ว่าทำได้รึเปล่า เลยลอง google ดูค่ะ ถึงได้ความว่าให้ดึงได้เลย ไม่เป็นไร ไม่มีผลกับเรา (แต่อาจมีผลกับร้านค้าที่เราไปทำ tax free ด้วย)

คราวนี้ พวกสินค้า consumable item อย่างขนมหรือเครื่องสำอาง เวลาเราทำ tax free แล้ว เค้าจะแพ็คไว้ในถุงปิดซีล แล้วบอกว่าไม่ให้เราแกะในขณะที่อยู่ในญี่ปุ่น 
ตรงนี้ มีหลายคนถามว่าถ้าจะเอามาจัดของตอนแพ็คกระเป๋าใหม่ มันแกะได้มั้ย?
โดยหลักการแล้ว คือ ไม่ได้ค่ะ 
แต่ในทางปฏิบัติ ก็เคยมีคนทำค่ะ แต่เราไม่แนะนำให้ทำค่ะ ทำให้ถูกต้องดีกว่า มีสุ่มตรวจเจอมา เดี๋ยวก็ยุ่งอีก ถ้าต้องการแยกให้จัดจริงๆ บอกพนักงานให้แยกตั้งแต่ตอนแพ็คได้เลยค่ะ พนักงานญี่ปุ่นส่วนใหญ่แพ็คของเก่งมากค่ะ ไม่ค่อยเหลือพื้นที่สิ้นเปลือง

ถ้าอธิบายตามที่เข้าใจก็คือ การยกเว้นภาษีหรือ tax free 
ภาษีที่ยกเว้นให้คือ ภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT ค่ะ
ซึ่งโดยหลัก การเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม เราจะเก็บจากสินค้าหรือบริการที่ใช้ภายในประเทศ 
ที่ในต่างประเทศยกเว้นภาษีตัวนี้ให้กับผู้ที่เดินทางออกนอกประเทศก็เพราะเค้ามองว่าสินค้าพวกนี้ไม่ได้ถูกใช้ในประเทศค่ะ ดังนั้น เค้าเลยต้องซีลเพื่อไม่ให้เราเปิดใช้ (ถ้าเราเปิดใช้ ก็เท่ากับว่าเราได้ใช้สินค้านั้นในประเทศเค้าแล้ว ก็เลยต้องเก็บ VAT หลักง่ายๆ ประมาณนี้ค่ะ)


Shopping

ไฮไลท์สำคัญอย่างหนึ่งสำหรับการไปเที่ยวญี่ปุ่น ก็เรื่องนี้แหละค่าาา ถึงเวลา ช็อปปิ้ง !!! 

อะไรน่าซื้อ ไม่น่าซื้อ จะขอสรุปรวมอย่างย่อๆ เลยนะคะ 

อย่างแรกเลย ในแต่ละเมืองในญี่ปุ่นจะมี "ของดีประจำถิ่น" อยู่นะคะ เหมือน OTOP บ้านเรา อันนี้พยายามอย่าพลาด อุตส่าห์ไปถึงที่แล้วต้องลอง โดยเฉพาะพวกขนมหรือผลไม้ตามฤดูกาล 


เช่น ไป Uji ก็ต้องสารพัดชาเขียว, ไป Kanazawa ก็จะมีผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับทองคำ ทั้งเครื่องสำอางและของกิน, ไป Hokkaido ก็ต้องผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับนมทั้งหลาย นม ชีส soft cream 

เอาเป็นว่าไปเมืองไหน เช็คดูเลยค่ะ เมืองนั้นอะไรดัง ต้องลองค่ะ อุตส่าห์ไปถึงที่แล้ว

หรืออย่างร้าน Yojiya แห่งเมือง Kyoto ก็น่าจะนับเป็นของดีเมืองเกียวโตได้อยู่เหมือนกันค่ะ
แม้ปัจจุบัน Yojiya ไม่ได้มีสาขาอยู่แค่ในเกียวโตเท่านั้น แต่มีอยู่หลายสาขาทั่วญี่ปุ่น รวมทั้งในสนามบินหลักของญี่ปุ่นอย่างสนามบินคันไซ สนามบินนาริตะ สนามบินฮาเนดะ
แต่ถ้าได้ไปเที่ยวเกียวโต จะเจอร้านนี้เยอะเลยค่ะ มีหลายสาขามาก ใกล้ๆสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆในเกียวโตอย่างวัดทอง วัดเงิน กิอง วัดน้ำใส อาราชิยาม่า ฯลฯ ก็จะเจอร้านนี้อยู่ค่ะ 
ถ้าใครไปเที่ยวแล้วเจอหน้าผู้หญิงญี่ปุ่นแบบนี้ก็อย่าลืมแวะไปดูสักหน่อยนะคะ
แผนที่สาขาต่างๆ >> https://www.yojiya.co.jp/english/


สินค้าชื่อดังของร้านนี้ คือ "กระดาษซับมัน"
ว่ากันว่า ดีมาก (และราคาค่อนข้างสูงด้วยเช่นกันสำหรับกระดาษซับมัน) แต่ส่วนตัวเราไม่ใช้กระดาษซับมัน เลยไม่เคยลองค่ะ




ตัวที่เราชอบคือ "กระดาษล้างหน้า"




ตัวนี้ภายนอกจะหน้าตาคล้ายๆกระดาษซับมัน เวลาซื้อต้องดูดีๆนิดนึงค่ะ ไม่งั้นจะสลับกันได้
ตัวนี้จะเป็นโฟมล้างหน้าที่อยู่ในรูปของกระดาษ เวลาจะใช้ก็แค่เอาน้ำมาใส่ ถูๆๆๆ ฟองก็จะออกมาค่ะ เพียงเท่านี้ก็ใช้ล้างหน้าได้แล้วค่ะ amazing สุดๆ พกพาง่าย เหมาะสำหรับคนที่ชอบเดินทาง

ที่เคยเห็นจะมีทั้งหมด 4 สีค่ะ
ตัวสีขาวจะเป็นตัว Basic ซึ่งมีตลอดปีค่ะ ส่วนสีอื่นๆอาจเปลี่ยนไปแล้วแต่ช่วง
สีชมพูจะมีช่วงฤดูใบไม้ผลิ เป็นกลิ่นซากุระ
ช่วงเดือนพฤศจิกายน เราเคยเจอเป็นสีส้ม กลิ่นส้มยูซุ (ตัวนี้ หอมละมุนมาก)
ส่วนสีเขียวเข้าใจว่าน่าจะเป็นกลิ่นชาเขียวค่ะ

คำแนะนำเพิ่มเติมสำหรับผลิตภัณฑ์ตัวนี้ของเราคือ ถ้าใช้แค่ล้างหน้า ใช้ครั้งละครึ่งแผ่นก็พอค่ะ

นอกจากนี้ จริงๆแล้ว Yojiya ยังมีสินค้าอีกมากมายหลากหลายเลยค่ะ
ทั้งลิปมัน แป้ง สเปรย์น้ำแร่ ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับการขัดผิว บำรุงผิว หรือกระทั่งแปรงแต่งหน้า
บางอย่างทางร้านจะมีจัดไว้เป็นเซ็ทด้วยค่ะ เหมาะกับการซื้อฝากผู้ใหญ่มาก




[เครื่องสำอาง]

⇨ ดี๋ยวนี้ เมืองไทยนำเข้าเครื่องสำอางญี่ปุ่นเยอะมากกก น่าจะเกือบทุกยี่ห้อแล้ว ราคาไม่ได้ต่างกันมากมาย ยิ่งถ้ามีโปรฯพิเศษ ดีไม่ดี บางยี่ห้อถูกกว่าซื้อราคาเต็มที่ญี่ปุ่นอีก เพราะฉะนั้น บางอย่างไม่ต้องรีบนะคะ มีสติไว้ค่ะ คิดก่อนว่าเราต้องใช้จริงๆรึเปล่า มันดีจริงรึเปล่า 

⇨ อยากรู้ว่าอะไร hot อะไร hit ในญี่ปุ่นให้ดูที่สัญลักษณ์ มงกุฏ @cosme ที่ตัวผลิตภัณฑ์



@Cosme เป็นเว็บไซต์รีวิวเครื่องสำอางของญี่ปุ่นค่ะ ในแต่ละปี @cosme จะเอาผลคะแนนที่ได้จากการรีวิวของผู้ใช้งานมาจัดอันดับผลิตภัณฑ์ความงามแยกเป็นประเภทตต่างๆไว้ ผลิตภัณฑ์ไหนได้รางวัลก็จะมีสติ๊กเกอร์สัญลักษณ์ของ @cosme แปะอยู่ที่ตัวผลิตภัณฑ์ 
ใคร no idea เลยว่าจะซื้ออะไรดี สามารถดูสัญลักษณ์นี้เป็นแนวทางได้เลยค่ะ อย่างน้อยก็เป็นการการันตีได้ในระดับหนึ่งค่ะ

<< ผลการประกาศรางวัล @cosme ปี 2017 >>
<< ผลการประกาศรางวัล @cosme ครึ่งปีแรกของปี 2018 >>

สำหรับคนที่สนใจเครื่องสำอางญี่ปุ่น เราแนะนำให้ตามพี่แป้ง Kirarista ค่ะ มีอัพเดทผลิตภัณฑ์อยู่เรื่อยๆ รวมถึงรางวัล @cosme แต่ละปีด้วย
“@COSME The Best Cosmetics Awards 2017” by แป้ง Kirarista
<< Part 1 Skincare >> <<  Part 2 Make up >>

⇨ จริงๆ นอกจาก @cosme ยังมีรางวัลอีกของหลายสำนัก สามารถดูเป็นแนวทางได้ทั้งนั้น เพียงแต่ของ @cosme จะเป็นที่รู้จักมากที่สุดค่ะ 

⇨ @cosme จะมีร้านชื่อ @cosme stroe อยู่ด้วยค่ะ มีอยู่หลายสาขา >> http://cosmestore.net/shop/
ในร้านจะรวบรวมผลิตภัณฑ์ต่างๆที่ได้รับรางวัล @cosme ไว้ และมีการจัดเชลฟ์อันดับขายดีแยกตามประเภทของเครื่องสำอางไว้ให้ด้วยค่ะ 
* update!! November 2018 Cosme store ได้มาเปิดสาขาแรกในประเทศไทยที่ IconSiam ค่ะ แวะไปเที่ยวชมกันได้นะคะ 

⇨ เทรนด์การแต่งหน้าของญี่ปุ่น จะเน้นใสๆวาวๆ เพราะฉะนั้น ถ้าใครชอบแต่งหน้าสาย ฝ. อาจไม่ค่อยแนวค่ะ 
พวกรองพื้นส่วนใหญ่ก็จะเน้นงานผิว ปกปิดไม่มาก วาวหน่อยๆ 
กลุ่ม eye shadow, บลัช ก็มักจะผสมพวกกลิตเตอร์ ไม่ค่อยมีแมทๆเท่าไหร่
งานลิปนี่ เน้นกลอส เน้นวาว สีใสๆ พวกสีแน่นๆ แมทๆ หายากมากค่ะ (แต่ตอนนี้เริ่มมีมากขึ้นกว่าเมื่อก่อนมากแล้ว)
แต่กลุ่มงานคิ้ว งานไลเนอร์ มาสคาร่า คือ ต้องยกให้ญี่ปุ่นจริงๆ ดีเกือบทุกยี่ห้อในราคาไม่แพง 

⇨ บริษัท Cosmetic ใหญ่ๆของญี่ปุ่น เช่น Shiseido, Kose, Kanebo พวกนี้ เค้าจะมีแบรนด์ลูก แยกไลน์ แยกยี่ห้อ แยกกลุ่มลูกค้าอีกเยอะมากกกกกก ซึ่งบางไลน์จะขายตาม drug store แต่บางไลน์จะมีเฉพาะในห้างสรรพสินค้าเท่านั้นค่ะ 

ตัวอย่าง
Kanebo
Kose
⇨ ราคาเครื่องสำอาง Counter brand ที่เป็นแบรนด์ญี่ปุ่น ถ้าเป็นกลุ่มที่มีขายใน drug store ส่วนใหญ่จะถูกกว่าเมืองไทยค่ะ ซื้อได้ อย่างพวก Kose, SKII 
แต่ถ้าเป็นบางแบรนด์บางไลน์ เช่น Shiseido ในไลน์สูงๆ จะไม่มีขายใน drug store ต้องไปตามห้างสรรพสินค้า ซึ่งเท่าที่เคยสำรวจมา ราคาบางอย่างไม่ค่อยต่างกับ duty free เมืองไทยเท่าไหร่ ต้องดูดีๆค่ะ 

⇨ มีหลายยี่ห้อที่น่าสนใจและไม่มีในประเทศไทย เช่น Visee เครื่องสำอางน่าลองเกือบทุกอย่างค่ะ แพ็คเกจสวยมีความ Anna sui เล็กๆค่ะ สาวๆควรไปลองเล่นกันดูค่ะ, Excel อันนี้ตัวดังดั้งเดิมจะเป็นผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับคิ้ว แต่ตอนนี้ตัวที่คนวอแวกันเยอะจะเป็น single eyeshasow ค่ะ 

⇨ แปรงแต่งหน้าญี่ปุ่น


หลายคนถ้าอยู่ในสาย make up น่าจะเคยได้ยินกิตติศัพท์ของแปรงแต่งหน้าญี่ปุ่นมาไม่ก็น้อย


แปรงญี่ปุ่นมีดีเยอะค่ะ หลายยี่ห้อเลย แต่ที่คนพูดถึงเยอะจะมี Chikuhodo กับ Hakuhodo
สองบริษัทนี้เป็นบริษัทที่ทำแปรงส่งให้หลายแบรนด์เครื่องสำอางยุโรปหลายแห่งมาก อย่างพวก Tom Ford, Mac, Bobbi brown ฯลฯ

ที่เราเคยได้ไปสัมผัสมาจะเป็นของ Hakuhodo ค่ะ 

แปรงแต่งหน้าของ Hakuhada จะทั้งที่เป็นขนแพะ ขนกระรอก ขนม้า ขนวีเซิล ขนแบบผสม ราคาก็จะต่างกันไป ตามประเภทแปรงและชนิดขน
ซึ่งต้องทำความเข้าใจก่อนว่าแปรงเหล่านี้ ไม่ถูกนะคะ (แต่ก็ไม่แพงถ้าเทียบกับยี่ห้ออื่นที่คุณภาพระดับเดียวกัน) ขนาดแปรงปัดแก้มอันเล็กๆที่เป็นตัว basic เริ่มต้นก็ยังต้องมีพันนึง(บาท)ขึ้นไป และอาจเป็นแบบผสมขนสังเคราะห์ด้วย ไม่ใช่ขนแท้ล้วนๆ 
ถ้ายิ่งเป็นขนแท้ล้วนๆ ราคาก็จะยิ่งสูงไปเรื่อยๆ (และนุ่มขึ้นไปเรื่อยๆๆ)

สำหรับเราด้อมๆมองๆอยู่นานมากกว่าจะตัดสินใจซื้อ 
จนไปญี่ปุ่นรอบที่ 3 ได้ไปดู Hakuhodo ที่เคานท์เตอร์จริงๆ ถึงได้ตัดสินใจซื้อ
พอได้ไปจับของจริง คือ การตัดสินใจมันง่ายขึ้นมากกกก เพราะมันนิ่มมากๆ พนักงานก็น่ารักค่ะ ตั้งใจขายสุดๆ พยายามแนะนำอย่างมาก​ (แม้จะรู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง) ต้องลองไปดูค่ะ ดูแลลูกค้าแบบพรีเมี่ยมมาก ใส่ใจสุดๆ 

คำแนะนำในการทำความสะอาดแปรงของแบรนด์ ฆ่าทุกความเข้าใจที่เราเคยมีว่าต้องล้างแปรงบ่อยๆ เพราะคำแนะนำคือให้ล้างแค่ปีละ 1 ครั้ง ย้ำ! "ปีละครั้ง" เพราะทุกครั้งที่เราล้างแปรงจะทำให้คุณภาพของขนลดลง แต่มีคำแนะนำแบบ daily use ให้เอาแปรงปัดกับมือทุกครั้งหลังการใช้งานแทน (สำหรับการใช้งานกับผลิตภัณฑ์แบบฝุ่นนะคะ ถ้าเป็นพวกแปรงรองพื้นนี่ไม่น่าไหว หมกข้ามปีมีหวังสิวขึ้นเต็มหน้าแน่นอน)

[เครื่องเขียน]


อันนี้เป็นสุดยอดความโปรดปรานของเราเลยค่ะ ชอบไปเดินดูมากๆๆ 
ทั้ง Loft, Tokyu Hands, Muji, Itoya 
จริงๆเครื่องเขียนที่ญี่ปุ่นมี ในไทยก็มีค่ะ แต่ส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในกรุงเทพฯ เด็กต่างจังหวัดอาจจะหาซื้อยากหน่อย ถ้ามีโอกาสไปเที่ยวก็น่าซื้อค่ะ 

⇨ ถ้าใครชอบวาดภาพ พวกกลุ่มปากกาสีสำหรับวาดรูปนี่มีให้เลือกเยอะมากๆ 
(แต่เราเป็นหญิงที่ตกวิชาศิลปะ วาดแมวเป็นหมูได้ เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ไม่สันทัดจะแนะนำจริงๆค่ะ)

⇨ พวกสมุด กระดาษ หรือแพลนเนอร์ต่างๆ ก็มีเยอะค่าา กระดาษลื่นปรื้ด
อย่างสมุด Twistnote นี่ชอบมาก (ไทยมีขายนะคะ) เพราะสามารถดึงกระดาษเข้าๆออกๆ มาจัดใหม่ได้ด้วยตัวเอง 
สมุดมีหลายขนาด เลือกกันได้ตามอัธยาศรัย หรือถ้าใครติดว่ามันแพงไป แนะนำให้ซื้อเฉพาะตัวห่วงมันก็ได้ค่ะ จะมีแยกขายอยู่ สามารถใช้กระดาษยี่ห้ออื่นแทนได้ค่ะ แต่ตัวรูต้องเป็นขนาดสากลนะคะ อย่างพวกสมุดขดลวดที่ขายกันทั่วไป กระดาษสามารถใช้กับตัวนี้ได้ค่ะ



⇨ พวกของตกแต่งเลคเชอร์ก็มีเยอะมากกกกก ทั้งสติ๊กเกอร์ เทปตกแต่งต่างๆ ไม่ไหวจะแนะนำ ต้องลองไปเลือกกันดูค่ะ 
พักหลังๆมา เราซื้อของตกแต่งแบบนี้น้อยลงมาก เพราะพอซื้อมาแล้ว บางครั้งมันน่ารักเกินไป ซื้อมาแล้วไม่กล้าใช้ก็มี ( > < )!

⇨ ใครใช้ปากกาลบได้อยู่แล้ว ก็น่าซื้อนะคะ ที่ญี่ปุ่นถูกกว่าเมืองไทยอยู่เยอะพอสมควรเลย (เราซื้อตุนตลอด)



⇨ ที่อยากแนะนำเป็นพิเศษสำหรับน้องๆหนูทั้งหลาย ก็มีพวก mechanical pencil ค่ะ
จะมีหลายแบบหลายยี่ห้อ จุดเด่นก็จะแตกต่างกันไป ที่เด่นๆก็จะมี  
Delguard - รับแรงกดได้ดี ใช้ยังไงไส้ก็ไม่หัก เหมาะกับคนที่ชอบเขียนหนังสือกดแรงๆค่ะ 
Orenz - อันนี้นอกจากไส้ไม่หักแล้ว ยังเด่นสุดๆตรงที่มีไส้บางๆ ขนาดเพียง 0.2 ด้วยค่ะ ใครชอบเขียนหนังสือตัวเล็กๆ แนะนำอันนี้เลยค่ะ 0.2 บางสะใจมากกกกกก
Dr.grip - เค้าเคลมว่าเขียนแล้วไม่เมื่อย จับถนัดมือค่ะ แล้วสามารถเขย่าดินสอแทนการกดให้ไส้ออกตรงหัวดินสอได้ด้วย
Kurutoga - อันนี้ตอนเราเห็นครั้งแรก ว้าวมาก เป็นดินสอที่ไส้จะแหลมอยู่ตลอดเวลา ทำให้เส้นดินสอเท่ากันตลอด โดยมันจะมีกลไกในการเหลาดินสออยู่ข้างใน แต่ที่ต้องระวังคือมันจะเหลาต่อเมื่อมีการยกดินสอขึ้นแล้วกดลงใหม่เท่านั้น เพราะฉะนั้นจะไม่เหมาะกับคนที่เขียนหนังสือยาวๆแบบติดๆกันไปไม่ยกดินสอขึ้นเลย

เวลาซื้อ แนะนำให้ดูขนาดดีๆนิดนึงนะคะ เพราะส่วนใหญ่จะมีทั้งไส้ขนาด 0.3 และ 0.5 (ยกเว้น Orenz ที่มี 0.2 ด้วย) เวลาซื้อไส้ดินสอเติมจะได้ซื้อให้ถูกต้องค่ะ
ความน่ารักขึ้นไปอีกคือทุกยี่ห้อนอกจากตัวเบสิกสีเรียบๆแล้วยังมีเป็นลายการ์ตูนต่างๆด้วย ชอบแบบไหนก็เลือกกันได้เลยค่ะ หรือบางตัวมันจะมีรุ่น Advance ของตัวเองขึ้นไปอีกค่ะ อาจเพิ่มคุณสมบัติบางอย่างขึ้นมาจากรุ่นธรรมดา หรือบางอันตัวด้ามก็จะทำจากวัสดุคนละอย่าง ใครชอบดินสอที่มีน้ำหนักนิดนึงก็สามารถเลือกซื้อได้ตามสะดวกเลยค่ะ

พื้นฐานเราเป็นคนเขียนหนังสือค่อนข้างเล็กและไม่กดเลย (ไส้ดินสอกดเราต้องใช้ 3B-4B ถึงจะได้ความเข้มระดับปกติของคนอื่น)
เราลองซื้อ Kurutoga มา 2 แท่ง อันนึงเป็นรุ่นราคา 80 บาทมีขายในโลตัส (รุ่นที่ขายใน B2S จะ 150 บาท เคยสอบถามจากทางบริษัท Uni Thailand ได้ความว่าวัสดุที่ใช้ทำไม่เหมือนกัน แต่ฟังก์ชั่นเหมือนกันทุกอย่าง) ส่วนอีกแท่งเป็นรุ่น Advance ซื้อมาจาก Loft ที่ญี่ปุ่น ใช้ไปใช้มา เราไม่ค่อยชินค่ะ ไม่เหมาะกับการใช้งานของเราเท่าไหร่ เพราะเราเขียนหนังสือไม่ค่อยยก เฟลเล็กๆ

อีกยี่ห้อที่ได้ลองแล้วค่ะ Orenze ค่ะ 
ครั้งแรกซื้อแบบแท่งธรรมดา 0.2 mm มา ปรากฏใช้แล้วชอบมาก เล็กสะใจดี แต่ติดตรงเราไม่ชินกับการใช้ดินสอกดแบบไส้ไม่โผล่เลย (กลไกของตัวนี้เวลาใช้ไส้ดินสอต้องยังอยู่ในปลายดินสอค่ะ ไส้ดินสอถึงจะไม่หัก) เราชอบให้มันโผล่นิดๆ เลยกลายเป็นว่าไส้หักบ่อย
พอมีโอกาสไปซื้ออีก เราเลยเลือก 0.3 mm มา (คิดเอาเองว่าจะได้หักยากขึ้น) และเลือกรุ่นที่ด้ามหนักๆหน่อย (แพงขึ้น T^T) เพราะก่อนหน้านี้เราใช้ roting ติดต่อกันมาเป็นสิบปี เลยค่อนข้างชินกับดินสอกดที่มีน้ำหนัก แต่พอใช้แล้ว เราก็ยังชอบ 0.2 มากกว่าค่ะ นี่ยังแอบคิดๆอยู่ว่า ถ้ามีโอกาสจะไปซื้อ 0.2 รุ่นที่เป็นด้ามเหล็กมาอีกสักด้ามนึง (แต่อีกใจก็อดคิดไม่ได้ว่าคนเราจำเป็นต้องมีดินสอกดเยอะขนาดนี้เลยเหรอ > < )

⇨ กรรไกรพกพา ก็เป็นอีกอันที่เรารู้สึกว่าทุกคนควรมี
หน้าตาจะเป็นประมาณนี้ค่ะ ตอนพับก็จะคล้ายๆปากกาดีๆนี่เอง แต่สามารถกางออกมาเป็นกรรไกรได้ 
มีหลายยี่ห้อ หลายลาย บางยี่ห้อหน้าตาอาจผอมบางกว่ากันนิดหน่อย แต่รวมๆก็หน้าตาประมาณนี้เลยค่ะ

⇨ นอกจากนี้ ยังมีเครื่องเขียนน่ารักๆ แปลกๆ และน่าใช้อยู่อีกหลายอย่างเลยค่ะ ต้องลองไปเดินๆดูกัน บางอย่างก็อาจทำให้เราอึ้งแบบ เฮ้ยย มันมีงี้ด้วยเหรอ เช่น ตัวเก็บขี้ยางลบ แม๊กเย็บกระดาษแบบไม่ต้องใช้ไส้แม๊ก หรือพวกของพกพาทั้งหลาย พับไปพับมาเหลือเล็กนิดเดียว อะไรแบบนี้ค่ะ

แต่ขอย้ำอีกครั้ง ซื้ออย่างมีสตินะคะ อะไรที่เราไม่ได้ใช้ไม่ต้องซื้อก็ได้ แล้วอย่างที่บอกไปข้างต้น ของหลายอย่างที่ญี่ปุ่นมี เมืองไทยเราก็มีค่ะ

[อื่นๆ]

⇨ เสื้อผ้า

ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มักจะขายเสื้อผ้าตามฤดูกาลค่ะ (ไม่เหมือนเมืองไทย เพราะเรามีฤดูเดียวตลอดปี 555+)
ถ้าเป็นช่วงหน้าหนาวก็จะเจอแค่สเวตเตอร์ โค้ท เสื้อขนเป็ด อะไรแบบนี้ แต่ถ้าไปช่วงหน้าร้อนก็จะไม่เจอเลยค่ะ 
เพราะฉะนั้น ถ้าใครคิดจะไปซื้อพวก Heatech หรือ ultra light down ของ Uniqlo ที่ญี่ปุ่น ช่วงอื่นที่ไม่ใช่ฤดูหนาวหรือยังไม่เข้าใกล้ฤดูหนาว ก็จะไม่ค่อยมีขายค่ะ

ณ ที่นี้ ขอพูดถึงเฉพาะแบรนด์หลักที่คนไทยนิยมกันไป อย่าง Uniqlo และ GU นะคะ
Uniqlo นี่คนไทยย่อมรู้จักกันดีอยู่แล้ว ไม่มีอะไรจะบรรยายแล้ว

แต่จะขอเพิ่มเติมในส่วนของราคา Uniqlo เมื่อเทียบกับเมืองไทย
เท่าที่เราสังเกต ราคาไทยกับญี่ปุ่นไม่ได้ต่างกันมากมายนะคะ จะเรียงลำดับจากถูกไปแพงได้ประมาณนี้
ญี่ปุ่นช่วงลดราคา ถูกสุดค่ะ ขึ้นป้ายแดงเมื่อไหร่ซื้อได้เลย โอกาสที่เมืองไทยถูกว่าแทบไม่มีเลย
ส่วนราคาปกติญี่ปุ่น กับ ราคาที่เมืองไทยช่วงลดราคา จะใกล้ๆกันค่ะ บางอย่างไทยช่วงลดถูกกว่าซื้อที่ญี่ปุ่นด้วยซ้ำไปค่ะ เพราะฉะนั้นถ้าเจอของที่อยากได้ที่เมืองไทยแล้วมันลดราคา ซื้อได้เลยค่ะ ไม่ต้องรอไปซื้อที่ญี่ปุ่น

ส่วน GU เป็นแบรนด์ลูกของ Uniqlo อีกทีค่ะ ราคาจะย่อมเยาลงมาอีก ช่วงลดที่ญี่ปุ่นคือถูกมากๆ 
แต่ต้องเลือกดูดีๆนิดนึงค่ะ บางอย่างคัทติ้งก็ไม่ค่อยสวย น่าซื้อเป็นอย่างๆไป โดยเฉพาะพวกเบสิคโค้ท สวยและไม่แพงค่ะ 
* มีข่าว(ลือ)ว่า GU อาจมาเปิดในเมืองไทยด้วย

 ร้าน 100 เยน

เราชอบเป็นพิเศษค่ะ อย่างน้อยเวลาไปญี่ปุ่นต้องหาโอกาสไปเดินสักร้านนึง
ร้าน 100 เยน (ร้าน 300 เยนก็มีนะคะ) มีหลายแบรนด์นะคะ ไม่ได้มีแค่ Daiso ที่เราคุ้นเคยกัน
สินค้าในร้าน จริงๆก็ไม่ต่างกับร้าน Daiso ในไทย เพียงแต่ในไทยมัน 60  บาท แต่ไปที่โน่นมัน 30 บาท (100 เยน) และบางสาขา ของเยอะมากกกกก 

สินค้าที่เคยได้จากร้าน 100 เยนเมื่อนานมาแล้ว แล้วมันช่วยชีวิตเราเอาไว้ อยากแนะนำให้ทุกคนมี คือ ถุงสุญญากาศ ค่ะ ตอนขากลับจากญี่ปุ่นซื้อของเยอะไปหน่อย (จริงๆก็ไม่หน่อยเท่าไหร่) เกือบยัดลงกระเป๋าเดินทางไม่หมดค่ะ ดีที่ซื้อถุงสุญญากาศมาด้วย เลยเราเสื้อผ้าใส่ถุงสุญญากาศรีดพื้นที่กระเป๋ามาได้อีกพอควรเลย
ยิ่งคนที่ซื้อตุ๊กตาหรือไปคีบตุ๊กตามาด้วย นี่ยิ่งควรมีเลยค่ะ ช่วยประหยัดพื้นที่ได้เยอะมาก (ช่วยเรื่องขนาด แต่ไม่ช่วยเรื่องน้ำหนักนะคะ ระวังด้วย)

แนะนำเป็นพิเศษ คือ ถุงสุญญากาศแบบกดไล่ลมออกทางก้นถุง นะคะ จะสะดวกที่สุดค่ะ
หน้าตาประมาณนี้ค่ะ



สินค้าที่น่าสนใจของร้าน 100 เยน มีอีกเยอะเลยค่ะ แต่เนื่องจากมันเยอะและหลากหลายมากจริงๆ เลยไม่ไหวจะแนะนำทั้งหมด สรุปได้ว่า ถ้าไปญี่ปุ่นก็น่าไปเดินเล่นดูค่ะ แล้วคุณจะพบว่า 100 เยน รวมๆกัน ก็อาจหมดตัวได้ 5555+

สินค้า Character store

Character store หรือ Character shop ในญี่ปุ่นมีเยอะมากกกกกกกกกกก
ถ้าใครชอบตัวการ์ตูนตัวไหนเป็นพิเศษ เมื่อเดินทางไปญี่ปุ่น นี่เป็นโอกาสของคุณในการไปกวาดมันกลับมาแล้วค่ะ มีแทบทุกคาแรกเตอร์ในโลกแล้ว
Disney store, Sanrio, Kitty, Pokemon บลาๆๆ อีกมากมาย

ถ้าใครชอบตัวไหนเป็นพิเศษ แนะนำให้หาข้อมูลเบื้องต้นไปก่อนนะคะ ว่าร้านมีที่ไหนยังไงบ้าง 

ขนาดไม่ได้เข้าร้านเป็นชิ้นเป็นอัน เดินๆอยู่ก็จะเจอสารพัดกาชาปองมาค่อยดูดเงินของเราค่ะ ต้องตั้งสติมากๆ

Gunpla

สายกันพลาควรซื้อค่ะ ราคาถูกกว่าเมืองไทยเยอะเลย

นอกจากพวกตัวกันพลาแล้ว พวกอุปกรณ์สี แปรง กล่องเก็บก็เยอะค่ะ

⇨ ขนม

อันนี้เป็นอะไรที่เราเสียเงินเยอะ ส่วนตัวเราว่าขนมญี่ปุ่นช่างแสนแพง (แพงกว่าเครื่องสำอางอี้กกก) โดยเฉพาะขนมของฝากในสนามบิน แต่ถามว่าซื้อมั้ย ก็ตอบได้ทันทีเลยว่าซื้อค่ะ

ที่ชอบก็จะมีถั่วลันเตา (มีทั้งแบบใส่วาซาบิกับไม่มีวาซาบิ) , Potato farm, Melon cake, Shiroi Koibito ฯลฯ

06 มิถุนายน 2561

ใช้งานโทรศัพท์ในต่างประเทศแบบง่ายๆและฟรีๆด้วยแอพ dtac call

*** ออกตัวก่อน เราไม่ได้เชียวชาญเรื่องเทคโนโลยีอะไรมากมายนะคะ จะอธิบายตามความเข้าใจของคนธรรมดาคนหนึ่ง ถ้ามีข้อมูลตรงไหนผิดพลาดหรือตกหล่นต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ

ทั้งนี้ จริงๆ ก่อนหน้านี้ ทุกทริปที่ผ่านมา เราไม่เคยสนใจเรื่องการใช้งานโทรศัพท์เลยค่ะ เลือกที่จะปิดการใช้งานโทรศัพท์อย่างสิ้นเชิง แล้วใช้แค่อินเตอร์เน็ตในต่างประเทศอย่างเดียว เพราะแค่มีอินเตอร์เน็ต สมัยนี้มันก็สามารถ voice call หรือ video call ผ่านแอพพลิเคชั่นต่างๆ เช่น Line, Skype ได้อยู่แล้ว 

แต่เนื่องจากทริปล่าสุด คุณแม่ของเรามีความจำเป็นต้องใช้งานโทรศัพท์ (หลักๆ คือการรับสายโทรศัพท์ที่มีคนโทรเข้า) เราเลยต้องมาศึกษาเรื่องนี้ 

❉ ❉ ❉ ❉ ❉ ❉ ❉ ❉ ❉ ❉ ❉ ❉ ❉ ❉

วันนี้เราขอมาแนะนำแอพของ dtac ที่ชื่อ dtac call ค่ะ

❉ ❉ ❉ ❉ ❉ ❉ ❉ ❉ ❉ ❉ ❉ ❉ ❉ ❉

แต่ก่อนอื่นมาดูเรื่องการใช้งานโทรศัพท์เวลาไปท่องเที่ยวต่างประเทศกันก่อนสักหน่อย


โดยปกติ หากเราต้องการใช้งานโทรศัพท์ในต่างประเทศมันก็จะมีทางเลือกอยู่ 2 ทางใหญ่ๆ คือ


1. เปิด roaming เบอร์ที่ไทยของเราให้สามารถใช้งานในต่างประเทศไทย 

ทางเลือกนี้ มีข้อดีคือเราสามารถใช้เบอร์เดิมของรับสายและโทรออกได้เลย แต่ข้อเสียคืออัตราค่าบริการมันแพงมาก

ตัวอย่าง อัตราค่าบริการ roaming ของ AIS และ dtac สำหรับเบอร์ในระบบของเดือนเมื่อเดินทางไปประเทศญี่ปุ่น (website ของทรูหาข้อมูลอะไรยากมากเลยค่ะ เลยขอข้ามทรูไป เหนื่อยกับการหา)



เครือข่าย
อัตราค่าโทร (บาท/นาที)
ส่ง SMS
(บาท/ข้อความ)
โทรหาเลขหมายประเทศที่โรมมิ่ง
โทรหาเลขหมายประเทศไทย
โทรหาเลขหมายประเทศอื่น
รับสาย
AIS
26
80
85
26
12
dtac
26
78
82
25
12

ทั้งนี้ หากใครจำเป็นต้องใช้ roaming แนะนำให้ลองเช็คแพ็คเกจเหมาจ่ายกับทาง operater อีกครั้งค่ะ อาจจะพอช่วยได้


http://www.ais.co.th/roaming/package.html

https://www.dtac.co.th/roaming/rate/dtn/

2. กรณีถ้ามีการใช้ internet sim อื่นๆ เช่น sim2fly, go inter, travel sim หรือ local sim ของประเทศนั้นๆ ก็สามารถใช้งานโทรศัพท์จากเบอร์ของ internet sim นั้นๆได้เช่นกัน 
แต่ข้อเสียคือเบอร์ที่ใช้จะเป็นเบอร์ของ internet sim ไม่ใช่เบอร์เดิมของเรา นั่นหมายความว่าถ้าเราต้องการรับสายที่โทรเข้าเบอร์เดิมของเรา เราต้องทำการโอนสายมาที่เบอร์นี้ก่อน และอัตราค่าบริการยังถือว่าสูงอยู่

ตัวอย่าง อัตราค่าบริการโทรศัพท์ของ AIS Sim2Fly และ dtac Go inter สำหรับประเทศญี่ปุ่น



เครือข่าย
อัตราค่าโทร (บาท/นาที)
ส่ง SMS
(บาท/ข้อความ)
รับ SMS
โทรหาเลขหมายประเทศที่โรมมิ่ง
โทรหาเลขหมายประเทศไทย
โทรหาเลขหมายประเทศอื่น
รับสาย
AIS Sim2Fly
6
6
35
6
6
ฟรี
dtac Go Inter
26
26
35
20
6
ฟรี


Wifi Calling


นอกจากสองวิธีด้านบนแล้วก็ยังเทคโนโลยีอีกแบบหนึ่งซึ่งเราเรียกว่า wifi calling ค่ะ


Wifi calling คือ การใช้โทรศัพท์โดยผ่านระบบ wifi นั่นเอง 

ขอเพียงแค่โทรศัพท์เราต่อ wifi อยู่ ไม่ว่าอยู่ที่ไหนในโลก (ทั้งในไทยและต่างประเทศ) ก็สามารถใช้งานโทรศัพท์ผ่านระบบนี้ได้
โดยค่าบริการจะคิดตามแพ็คเกจโทรศัพท์ที่เราใช้อยู่เดิมเลย ไม่มีการคิดค่าบริการเพิ่มเติม นั่นหมายความว่า เราสามารถรับสายได้ฟรีเสมอไม่ว่าอยู่ที่ไหนของโลก

ตอนนี้ทุก operater ในไทยมีบริการนี้อยู่นะคะ 
AIS >> http://www.ais.co.th/4g/vowifi/
dtac >> https://www.dtac.co.th/network/wifi-calling.html
ture >> http://truemoveh.truecorp.co.th/news/detail/198

จริงๆ wifi calling นี้เป็นเทคโนโลยีที่ดีมากๆค่ะ สามารถตอบโจทย์คนบางส่วนในการไปท่องเที่ยวต่างประเทศได้ แต่อาจยังไม่ใช่ทั้งหมด


ยังไง?


เนื่องจากการจะใช้  wifi calling โทรศัพท์จะต้องมีการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตจากสัญญาณ wifi เท่านั้น ทำให้เหมาะกับผู้ที่ใช้งาน pocket wifi หรืออินเตอร์เน็ต wifi ฟรีตามที่สาธารณะหรือโรงแรม ร้านค้าต่างๆ เท่านั้นค่ะ


หากเป็นคนที่ใช้งาน internet sim จะมีปัญหาทันที 

เพราะเมื่อโทรศัพท์เราใส่ซิมของ internet sim เข้าไปแล้วเท่ากับว่าเราต้องถอดซิมเดิมออก และการใช้งานของเราก็จะเป็นการใช้งานอินเตอร์เน็ตจากระบบ cellular data (เช่น 4G) ไม่ได้เป็นการใช้งานผ่าน wifi ทำให้ไม่สามารถใช้งาน wifi calling ได้ 
(คนที่โทรศัพท์เป็นระบบ 2 ซิม ก็ทำไม่ได้นะคะ ต่อให้ใส่ซิมได้ 2 อัน การจับสัญญาณอินเตอร์เน็ตก็ยังเป็น cellular data อยู่ดี เราลองแล้ว 555+)

>> เราเคยพยายามแก้ปัญหานี้ด้วยการพกโทรศัพท์ 2 เครื่องค่ะ ใช้เครื่องหนึ่งใส่ internet sim แล้วแชร์สัญญาณ wifi ให้อีกเครื่องหนึ่ง (ใช้เครื่องหนึ่งเป็นตัวปล่อยสัญญาณเหมือน pocket wifi)

อีกเครื่องหนึ่งซึ่งใส่ซิมเดิมไว้ เปิดเป็น airplane mode ไว้ (ป้องกัน roaming รั่ว) แล้วเชื่อมต่อ wifi จากอีกเครื่องที่แชร์มา ทำให้ใช้งาน wifi calling ได้ 
ซึ่งมันก็ใช้งานได้นะคะ แต่ไม่เวิร์คตรงกระเป๋าหนัก 5555+ เพราะนอกจากต้องพกโทรศัพท์สองเครื่องแล้ว ยังต้องพก power bank ด้วย เพราะเครื่องที่เราใช้แชร์สัญญาณ wifi แบตมันจะหมดเร็ว(มาก)
แต่ถ้าใครไม่มีปัญหานี้ ลองเอาวิธีนี้ไปใช้ได้นะคะ 

นอกจากนี้ wifi calling จะรองรับเฉพาะการโทรศัพท์ (voice) เท่านั้น ไม่สามารถรับ-ส่ง sms ได้ 

ซึ่งดูแล้วการรับ-ส่ง sms จริงๆก็ดูไม่ได้เป็นปัญหามากนัก เพราะตราบใดที่เราต่ออินเตอร์เน็ต การรับ-ส่งข้อความ text ก็เป็นเรื่องง่ายมาก ใช้แอพ line ก็ได้ messenger ก็ได้


แต่มันจะมีการรับ sms อยู่รูปแบบหนึ่งที่หลายคนที่ไปเที่ยวต่างประเทศประสบปัญหา คือ การรับ otp จากธนาคารในไทยเพื่อยืนยันการซื้อสินค้าหรือบริการผ่านอินเตอร์เน็ตค่ะ 

เช่น ถ้าสมมติ เราตกเครื่อง ต้องซื้อตั๋วเครื่องบินใหม่ แต่การซื้อตั๋วเครื่องบินนั้นเราจ่ายผ่านบัตรเครดิตที่ต้องการการยืนยันผ่านระบบ otp อีกครั้ง แบบนี้ มันจะงงๆนิดนึงค่ะ

จริงๆ มันเป็นปัญหาที่แก้ไขได้ แต่การแก้ไขมันอาจจะยุ่งนิดนึง 
คือ ถ้ากรณีแบบนี้เกิดขึ้น แล้วเราเปิด roaming อยู่ เราสามารถรับ sms ได้ฟรีอยู่แล้วค่ะ ไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าไม่ได้เปิด roaming ไว้ ก็ต้องไปเปิดก่อนค่ะ (ซึ่งหลายคนอาจจะลืม)
แล้วยิ่งถ้าคนที่เอาเบอร์ที่ผูกกับธนาคารออกจากโทรศัพท์ แล้วเอาเบอร์ internet sim ใส่เข้าไปแทน แบบนี้ก็ต้องอย่าลืมเปลี่ยนซิมกลับมาเป็นเบอร์เดิมก่อน เพื่อเตรียมรับ sms (แล้วอย่าลืมเปิด roaming ด้วยนะคะ)

dtac call application



แอพ dtac call เป็นแอพที่แก้ปัญหาการใช้งานทั้งหมดที่เราว่ามาด้านบนค่ะ 

>> https://www.dtac.co.th/info/dtac-call.html

เราสามารถใช้งานโทรศัพท์ได้เหมือนอยู่ประเทศไทยด้วยเบอร์เดิมของเราเอง ไม่ว่าจะรับสาย โทรออก รับ-ส่ง sms แอพนี้ทำได้ค่ะ

ที่สำคัญคือ ฟรี!! ขอแค่มีอินเตอร์เน็ตเท่านั้นเอง

คำว่า ฟรี ในที่นี้ หมายถึง รับสายและรับ sms ฟรีเหมือนอยู่ไทย ส่วนการโทรออกและส่ง sms ก็หักจากในแพ็คเกจเหมือนอยู่ไทยค่ะ ไม่ได้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมใดๆ เหมือนกับการใช้ wifi calling 

แต่ข้อแตกต่างคืออินเตอร์เน็ตที่ใช้นั้นจะเป็นสัญญาณอินเตอร์เน็ตจาก wifi หรือ cellular data (3G/4G) ก็ได้

และการใช้งานแอพนี้ก็ไม่จำเป็นต้องใส่ซิม dtac อยู่ในเครื่องก็สามารถใช้ได้ ทำให้แม้เราถอดซิมเบอร์เดิมของเราออก แล้วใส่ internet sim เช่น sim2fly, go inter หรือ data local sim ของประเทศนั้นๆเข้าไป ก็ยังสามารถใช้งานได้


นอกจากเรื่องการใช้งานในต่างประเทศ ทาง dtac เค้าเคลมว่าแอพนี้จะทำให้ลูกค้าดีแทคที่มีหลายเบอร์ สามารถรวมเบอร์ที่มีอยู่ (สูงสุดไม่เกิน 5 เบอร์) ให้สามารถใช้งานได้ในแอพเดียว เครื่องเดียว ไม่ต้องพกโทรศัพท์หลายเครื่อง โดยยังสามารถรับสิทธิพิเศษ dtac reward จากทุกเบอร์ได้เหมือนเดิม

วิธีการใช้งาน


ขั้นแรก 

download แอพ dtac call จาก App Store หรือ Play Store
App Store >> https://itunes.apple.com/th/app/dtac-wifi-calling/id1210578759
Play Store >> https://play.google.com/store/apps/details?id=th.co.dtac.wificalling

ขั้นที่สอง

ไปลงทะเบียน dtac call ด้วยเบอร์โทรศัพท์
***dtac call รองรับการใช้งานได้เฉพาะเบอร์ dtac เท่านั้นค่ะ
ครั้งแรก เราจะได้รหัส OTP มาเพื่อใช้ในการลงทะเบียน เราก็ทำไปตามขั้นตอนที่ขึ้นเลยค่ะ ง่ายมาก เชื่อว่าทุกคนทำได้



credit: https://www.dtac.co.th/info/dtac-call.html


การใช้งานในกรณีที่ใส่ internet sim อื่นเพื่อไปใช้งานในต่างประเทศนั้น ก็ง่ายมากค่ะ
เราต้องเข้าไปใน manage number เพื่อเปลี่ยนจากการใช้งาน sim card เป็น dtac call ก่อน (ดูรูปที่ 6 จัดการเบอร์โทรเข้าด้านบนประกอบนะคะ) แค่นี้เป็นอันเสร็จแล้วค่ะ
จากนั้นก็เปลี่ยน sim card จากซิม dtac ไปเป็น internet sim ที่เราซื้อมาก็ใช้ได้เลยค่ะ 

เวลาเราจะโทรออก-รับสายและรับ-ส่งข้อความ sms เราจะต้องทำผ่านแอพ dtac call นะคะ
เช่น ถ้าเราจะโทรออก ก็ต้องเข้ามาที่แอพ dtac call ก่อน แล้วกดเบอร์เพื่อโทรออก 
(ถ้าเราไปใช้หน้าโทรออกของเครื่องโทรศัพท์ปกติ มันจะกลายเป็นเราใช้ตัว internet sim โทรออกค่ะ) 

ดูแล้วจริงๆ มันก็คล้ายๆการโทรผ่านแอพพลิเคชั่นอื่นๆ อย่าง Line ค่ะ แต่อันนี้มันดีตรงเป็นการใช้เบอร์เดิมของเราเอง คนโทรหาเราก็ยังโทรได้ปกติ ส่วนเราก็ยังโทรออกได้ปกติ อีกฝ่ายไม่ต้องมีแอพอะไรเพิ่ม อย่างถ้าโทร Line ทั้งสองฝั่งต่างก็ต้องมีแอพ Line ใช่มั้ยคะ แต่อันนี้ไม่ต้องเลย

ในด้านของการใช้งานจริงที่เราเจอมา
การรับ sms ใช้งานได้ปกติค่ะ (ยิ่งตอนอยู่ไทย เวลามี sms เข้า แอพ dtac call ขึ้นเตือนเร็วกว่าจากโทรศัพท์อี้กกก)
การโทรออกจากแอพ อันนี้ใช้ได้ดีค่ะ ไม่มีปัญหาอะไร เสียงก็ชัดเจนดีค่ะ (ขึ้นอยู่กับสัญญาณอินเตอร์เน็ตด้วยค่ะ)
แต่โทรเข้า เรารู้สึกว่าน่าจะมีดีเลย์นิดหน่อยค่ะ เพราะเหมือนเพื่อนถามว่าทำไมรับโทรศัพท์ช้า ทั้งที่เราว่าเราได้ยินเสียงเรียกเข้าก็รับเลย (คล้ายๆเวลาใช้ Line เหมือนกัน)

สรุป เราชอบแอพนี้ค่ะ รู้สึกว่ามันง่าย ตอบโจทย์ และใช้ได้จริง ใครเป็นคนคิดไม่รู้ แต่อยากตะโกนบอกคนคิดและคนทำแบบลูกเสือสำรองว่า "เยี่ยมจริงๆ เยี่ยมจริงๆ เยี่ยมจริงๆ"
ก่อนจะมี เราก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันจำเป็นอะไร แต่พอมีแล้ว เออ มันดีหวะ ชีวิตง่ายขึ้นจริง 
และเราคิดว่าในอนาคต AIS กับ true ก็น่าจะมีแอพที่รองรับการใช้งานลักษณะนี้ได้เหมือนกันค่ะ 
เราถือคติว่า ถ้าค่ายนึงทำได้ ค่ายอื่นก็ต้องทำได้ ( ^__________^ )

❉ ❉ ❉ ❉ ❉ ❉ ❉ ❉ ❉ ❉ ❉ ❉ ❉ ❉

ป.ล.
สรุปอัตราค่าบริการอีกครั้ง (เป็นข้อมูลอย่างเป็นทางการที่ทาง dtac แจ้งไว้ในเว็บค่ะ)

อัตราค่าบริการ
การโทรออก-รับสาย และ รับ-ส่งข้อความ SMS บนแอปพลิเคชัน dtac call จะคิดค่าบริการตามแพ็กเกจของคุณเหมือนอยู่ไทย ดังนี้

การคิดค่าบริการโทรออก-รับสาย

1. การโทรหาเบอร์ประเทศไทย จะคิดค่าบริการเป็นนาทีหรือวินาทีตามอัตราแพ็กเกจปัจจุบันของลูกค้า โดยหักจากจำนวนที่ใช้งานได้ตามแพ็กเกจปกติ
2. การโทรออกหาเบอร์ต่างประเทศ จะคิดค่าบริการโทรต่างประเทศ (IDD)
3. การรับสายไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนทั่วโลก ก็รับสายฟรี

การคิดค่าบริการรับ-ส่งข้อความ (SMS)

1. การส่งข้อความหาเบอร์ประเทศไทย จะคิดค่าบริการตามอัตราแพ็กเกจปัจจุบันของลูกค้า โดยหักหรือคิดค่าบริการจากจำนวนที่ใช้งานได้ตามแพ็กเกจปกติ
2. การส่งข้อความหาเบอร์ต่างประเทศ จะคิดค่าบริการโทรต่างประเทศ (IDD)
3. การรับข้อความ (SMS) ฟรี