19 ตุลาคม 2557

Day 2: Osaka Amazing Pass

Day 1: Osaka กุหลาบงามกลางเดือนพฤษภาคม
Day 2: Osaka Amazing Pass
Day 3-4: Kyoto Aoi Matsuri
Day 5: Nara and Night bus to Kawaguchiko
Day 6: Kawaguchiko มาปั่นจักรยานกันเถอะ
Day 7: Fuji Shibazakura Festival
Day 8-11: Tokyo (1)
Day 8-11: Tokyo (2) - Kawasaki

∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇

:: Osaka Amazing Pass

หลังจากเมื่อวานเราไปเที่ยวชมน้องดอกกุหลาบมาแล้ว วันนี้เราจะตามเก็บสถานที่ท่องเที่ยวในโอซาก้าด้วยบัตรเบ่งบัตรนี้ค่ะ




Osaka Amazing Pass เป็น pass ที่เหมาะมากสำหรับคนที่อยากเที่ยวอยู่ในโอซาก้าทั้งวัน สามารถใช้กับรถไฟในโอซาก้าได้ครอบคลุมเกือบทั้งหมด (ยกเว้น JR) โดยไม่จำกัดจำนวนเที่ยว และสามารถเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวได้ฟรี 28 แห่งตามที่ระบุไว้ และสามารถลดราคาหรือมีสิทธิพิเศษได้ในสถานที่ท่องเที่ยวอีก 13 แห่งตามที่ระบุไว้
ใครที่จะจัดแผนการท่องเที่ยงในโอซาก้า เราแนะนำให้ไป download Guidebook ของ Osaka Amazing Pass มาดูค่ะ << Download >>

Osaka Amazing Pass จะมี 2 แบบ คือ
แบบ 1-day ราคา 2300Y และ
แบบ 2-days ราคา 3000Y    
แบบ 1-day กับ 2-day จะใช้กับสายรถไฟได้แตกต่างกัน โดยแบบ 1-day จะใช้ได้ครอบคลุมมากกว่า
ทั้งนี้ การนับวันของ Osaka Amazing Pass ต้องนับต่อกันเท่านั้น เช่น 2-day ใช้ครั้งแรกวันที่ 12 ก็จะใช้ได้เฉพาะวันที่ 12 กับ 13 เท่านั้น จะเก็บไว้ใช้แบบแยก แบบใช้ครั้งแรกวันที่ 12 แล้วใช้ครั้งต่อไปวันที่ 14 ไม่ได้

ใน Guidebook จะบอกสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญในโอซาก้าไว้ พร้อมรายละเอียดการเดินทางและวันหยุดทำการของสถานที่ท่องเที่ยวนั้นๆ ทำให้เราสามารถวางแผนได้ง่ายขึ้นมาก
หน้าสำคัญ ดอกจันทน์ 300 ดอก คือ หน้า 15 ซึ่งเป็นแผนที่การเดินรถไฟทั้งหมดในโอซาก้าที่บัตรนี้ครอบคลุมถึง หน้านี้จะช่วยเราได้มากเลยค่ะ




วันนี้เราเริ่มต้นกันด้วยที่นี่ก่อนเลยค่ะ Osaka Castle 




Osaka Castle เป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของเมืองโอซาก้า สร้างขึ้นเป็นครั้งแรกบนบริเวณที่เคยเป็นวัด Osaka Hongan-ji เมื่อปี ค.ศ. 1583 โดย Toyotomi Hideyoshi (ค.ศ.1537-1598) นักรบระดับไดเมียวผู้พยายามรวบรวมประเทศเป็นครั้งแรก 
ปราสาทโอซาก้าได้รับความเสียหาย/ถูกทำลายทั้งจากภัยธรรมชาติและภัยสงครามหลายครั้ง รวมทั้งได้ถูกบูรณะขึ้นใหม่หลายครั้ง 
ปัจจุบัน ปราสาทโอซาก้าสูง 55 เมตร มี 5 ส่วน 8 ชั้น มีลิฟต์ติดตั้งภายในและมีสิ่งอำนวยความสะดวกแบบสมัยใหม่มากมาย


วิวจากด้านบนของตัวปราสาทโอซาก้า
คหสต. 


ที่นี่เป็น landmark สำคัญของโอซาก้าเลย ใครมาโอซาก้าก็น่าจะต้องมาสัมผัสที่นี่สักครั้ง
ถ้าเป็นช่วงที่ซากุระบาน ยิ่งน่ามามากๆ เพราะปราสาทโอซาก้าเป็นชุดชมซากุระที่สำคัญอีกแห่งของโอซาก้า และจะมีงาน Light-up ในช่วงนั้นด้วย
สถาปัตยกรรมภายนอก สวยงาม ดูแปลกตา (สำหรับคนไทยอย่างเราๆ)
แต่อย่าคาดหวังความขลัง ความเก่าแก่ เพราะอย่างที่บอกไปว่าตัวปราสาทถูกบูรณะ/สร้างใหม่หลายครั้งมากๆ ภายในจึงทันสมัยสุดๆ ไม่มีเค้าความโบราณเลย 
ภายในตัวปราสาท ตอนนี้เป็นเหมือนพิพิธภัณฑ์บอกเล่าเรื่องราวของตัวปราสาท (ถึงจะฟังไม่ออก แต่ก็ดูเพลินดีค่ะ) และชั้นบนสุดเป็นจุดชมเมืองโอซาก้า

อ้อ ที่นี่สนุกมากอยู่อีกอย่าง คือ เราเจอน้องๆมาทัศนศึกษากัน เป็นเด็กอารมณ์ดีกันมากมาย เห็นเรากับเพื่อนมีการทัก "Hello" กันตลอดทาง แล้วพอเพื่อนเรา "Hello" กลับเท่านั้น คราวนี้ยิ่งเสียง Hello เกรียวกราวเลย ไม่ได้กลัวคนแปลกหน้าเล้ยยยยย น่ารักมากๆค่ะ




ออกจากที่นี่เราเดินไปต่อกันที่ Osaka Museum of History





พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์โอซาก้าสร้างขึ้นเมื่อ ค.ศ. 2001 บนพื้นที่ที่เมื่อ 1350 ปีที่แล้วเคยเป็นพระราชวัง Naniwa Toyogarasaki No Miya โดยได้อนุรักษ์โบราณสถานที่ขุดค้นได้เกี่ยวกับพระราชวังไว้ที่ชั้นใต้ดิน ในขณะที่ชั้นบนเป็นห้องจัดแสดงนิทรรศการต่างๆ และยังเป็นที่เก็บรวบรวมหลักฐานและสมบัติที่ค้นพบในตัวปราสาทโอซาก้าทั้งหมดไว้ 


ถ้ามองจากอาคารพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์จะเห็นปราสาทโอซาก้าแบบนี้ด้วยค่ะ
คหสต. 

เราเป็นคนไม่อินกับพิพิธภัณธ์เลยค่ะ อาจเพราะว่าฟังไม่ได้สนใจประวัติศาสตร์อะไรเท่าไหร่ ยิ่งประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นนี่ความรู้เป็นศูนย์ ภาษาญี่ปุ่นก็ไม่ออก ภาษาอังกฤษก็ไม่แข็งแรง 
เรียกว่า ที่นี่ เราเดินเอาเพลินอย่างเดียวเลย 

มาสนุกตอนท้ายๆ ก่อนออกจากพิพิธภัณฑ์ค่ะ เพราะมีคุณลุงที่ทำงานจัดกิจกรรมอยู่ที่นั่นชวนให้เล่นเกมส์ 
เกมส์เป็นเกมส์ง่ายๆ คล้ายๆ บันไดงู คือ ให้ทอยลูกเต๋า พอเราเดินไปตกช่องไหนก็จะมีคำถามเกี่ยวกับประวัติของเมืองโอซาก้าให้ตอบ ซึ่งคุณลุงใบ้สุดชีวิตมากๆ ค่ะ บางข้อแทบจะบอกคำตอบกันเลย แล้วที่ฮามากคือ เราทอยลูกเต๋าได้ 1 ตลอดเว!!!!! ทอยจนคุณป้ากับคุณลุงอีกคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ขำกันใหญ่เลย ดวงดีผุดๆ (T^T) เพื่อนเราเล่นจนถึงเส้นชัยไปนานแล้ว เรายังเล่นไปไม่ถึงไหนสักที ถ้าไม่ติดว่าใช้ลูกเต๋าอันเดียวกับเพื่อนละก็ เราว่ามันต้องมีการวางกลไกอะไรที่ลูกเต๋าแน่เลย ทำให้เราทอยออก 1 ตลอด 555+
ป.ล. คุณลุงใช้ภาษาอังกฤษได้ดีมากๆ เลยค่ะ ฟังไม่ยากด้วย คุณลุงบอกว่าเคยมาเมืองไทยด้วยเมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้ว 

อยู่ญี่ปุ่น 2 วัน รู้สึกว่าเด็กและคนแก่ที่นี่สุขภาพจิตดีกันจริงๆ

จากที่นี่เราไปต่อกันที่ Osaka Museum of Housing and Living


cr. google (ขอยืมภาพจากอินเตอร์เน็ตค่ะ)

"Osaka Kurashi No Konjaku Kan" จัดแสดงอาคารบ้านเรือนของชาวเมืองโอซาก้าตั้งแต่สมัยเอโดะ (ค.ศ.1603-1867) จนถึงสมัยเมจิ (ค.ศ.1868-1912) สมัยไทโช (ค.ศ. 1913-1926) และสมัยโชว่า (ค.ศ.1926-1989) จุดที่น่าสนใจมากที่สุดอยู่ที่การจำลองบ้านเรือนของชาวเมืองโอซาก้าในราวค.ศ.1830-1844 โดยมีการปรับแสงเสียงตามเวลาเช้า กลางวัน เย็น สะท้อนให้เห็นภาพความเป็นอยู่ของชาวเมืองในเวลานั้นใกล้เคียงความจริงมาก และในบางฤดูกาล ยังมีการจัดนิทรรศการต่างๆที่น่าสนใจเช่น การจัดแสดงอาหารที่ใช้ปลา Hamo หรือปลาไหลทะเล การแสดงสมบัติที่ชาวเมืองใกล้เคียงนำมาร่วมจัดแสดง การแสดงการละเล่นของผู้คนทั่วไปในอดีต ฯลฯ

คหสต.

สำหรับที่นี่ เท่าที่อ่านรีวิวมา หลายคนค่อนข้างชอบเลยค่ะ แต่สำหรับเรา เราไม่ค่อยชอบค่ะ เราว่ามันเฟคมากเลยอ่ะ 555+ แต่ถ้าเอาแบบถ่ายรูปขำๆ ก็สนุกดีค่ะ ได้บรรยากาศไปอีกแบบนึง มีให้เปลี่ยนเช่าชุดยูกาตะเพื่อใส่ถ่ายรูป

Osaka Museum of Housing and Living จะตั้งอยู่ในตึกค่ะ ซึ่งถ้าไปตามที่ Guidebook บอก มันหาเจอง่ายมากเลย .....แต่มันง่ายเกินไป จนเราเดินเลยค่ะ 555+ ต้องไปถามคุณพี่ตำรวจแถวนั้น ซึ่งคุณพี่ก็พอเดินกลับไปส่งถึงตึกเลย ปรากฏว่าเป็นตึกแรกที่เจอหลังจากเดินออกมาจาก subway นั่นแหละ 
งงตัวเองมากว่าหลงได้ยังไง 555+
ซอยข้างๆ อาคารนี้เป็นย่านช็อปปิ้งนะคะ เรากับเพื่อนหามื้อกลางวันทานกันที่นี่แหละ สุ่มๆดูเอา 
แล้วก็ไปจบกันที่ "ซูชิจานเวียน" ร้านหนึ่ง ....และเป็นครั้งแรกที่ได้ลอง "อุนิ" 
........
.....
...
รสชาติเกินบรรยาย เป็นรสชาติที่จะจดจำไปชั่วชีวิต!

ออกจากแถวนี้ เราตรงไป Bay area กัน

บ้านเมืองย่านนี้น่ารักดีค่ะ เงียบมากด้วย ช่วงที่เราไปคนน้อยมากๆ ถ้าเทียบกับส่วนอื่นๆ ของโอซาก้า


วิวนี้ เห็นจากบน Tempozan ค่ะ
ย่านนี้ Highlight สำคัญ สำหรับคนที่พาลูกหลานหรือมีเด็กๆมาด้วย ต้องห้ามพลาด พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ Kaiyukan 
พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำไคยูคังนับเป็นพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่ติดอันดับโลกเลยค่ะ 
สำหรับคนที่ใช้ Osaka Amazing pass ที่นี่ ไม่ได้เข้าชมฟรี นะคะ แต่จะมีส่วนลดค่าเข้าชมให้
และเนื่องจากมันไม่ฟรี และเรากับเพื่อนไม่ได้อินกับสัตว์น้ำทั้งหลายมากนัก ก็เลยตัดสินใจไม่เข้าค่ะ เอาเวลาที่มีไปเที่ยวสถานที่ที่ฟรีดีกว่า (กลัวไม่คุ้มค่ะ 555+)
(จริงๆ ถ้ามันเข้าฟรีก็น่าเข้าค่ะ เพราะการ์ตูนญี่ปุ่น เค้าชอบไปเดทกันที่พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำเหลือเกิน อยากลองดูสักครั้งเหมือนกันว่าเป็นยังไง 555+)

จุดมุ่งหมายของเราในบริเวณนี้ (ซึ่งฟรี) มีอยู่ 2 แห่งค่ะ 

ที่แรกคือ Tempozan Giant Ferris Wheel



ชิงช้าสวรรค์เท็มโปซาน เป็นชิงช้าสวรรค์ขนาดยักษ์ มีความสูง 112.5 เมตร เมื่อก่อนเคยได้รับการบันทึกตำแหน่งเป็นชิงช้าสวรรค์ที่ใหญ่อันดับโลก แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้วค่ะ ปัจจุบันรู้สึกจะไม่ติด top 3 ของชิงช้าสวรรค์ในญี่ปุ่นด้วยซ้ำไป

คหสต.

ชอบอ่ะ บอกเลย มันสูงดี มุ้งมิ้งมากมาย ถึงแม้ว่าเราจะกลัวความสูงเบาๆ และรู้สึกหวาดเสียวทุกครั้งที่เพื่อนเปลี่ยนฝั่งนั่ง แต่ก็สนุกดีค่ะ เห็นวิวไกลมาก มองดูด้านล่าง รถคันเล็กนิดเดียวเอง ถ้ามากับแฟน น่าจะมุ้งมิ้งฟรุ้งฟริ้งมากกว่ามากับเพื่อนสาวอีกเย้อะะะะ

และอีกที่ คือ Cruise Ship Santa Maria 


cr. http://www.osaka-info.jp/en/facilities/cat37/post_328.html

เรือ Santa Maria เป็นเรือสำราญขนาดใหญ่ที่ล่องระหว่าง Tempozan Harbor Village, Kaiyukan และผ่านสถานที่สำคัญต่างๆ ในย่านนี้ไม่ว่าจะเป็นสะพานแดง (Red Bridge), Universal Studios ฯลฯ ตัวเรือสร้างเลียนแบบเรือ Santa Maria ของโคลัมบัสที่ใช้ค้นพบทวีปอเมริกา แต่ขนาดใหญ่กว่าเป็น 2 เท่า
ใน 1 รอบจะใช้เวลาในการล่องประมาณ 45 นาที โดยเรือจะออกจากท่าที่อยู่ด้านหลังพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ Kaiyukan ทุกๆ หนึ่งชั่วโมง
สำหรับผู้ใช้ Osaka Amazing Pass เรือ Santa Maria จะฟรีเฉพาะที่เป็น Day-cruise เท่านั้นค่ะ (เราจำได้ว่าจะมีเวลาบอกไว้ที่ไหนสักแห่งค่ะว่าเที่ยวสุดท้ายที่จะสามารถใช้ Osaka Amazing Pass ขึ้นฟรีคือกี่โมง แต่เราหาไม่เจอแล้วว่าอยู่ตรงไหน)

คหสต. 

Santa Maria เป็นอะไรที่ผู้ถือ Osaka Amazing Pass ควรมามากๆ เพราะมันเป็นส่ิงที่แพงที่สุดใน 28 แห่งที่ Osaka Amazing Pass เข้าชมได้ฟรี 55555+
ช่วงที่เราไปอากาศเย็นมากๆเลยค่ะ ดูวิวไปก็เพลินพอสมควร
แต่ที่ชอบใจมากตอนนั้น คือ เห็นฮอกวอต ของ USJ ด้วย (ตอนที่เราไปโซน Harry Potter ยังไม่เปิดให้บริการค่ะ แค่ได้เห็นปราสาทก็ดีใจแล้ว)

ออกจากย่านนี้ เราจะนั่งรถไฟกลับเข้าเมืองไปย่าน Umeda กันค่ะ

แรกเริ่มเลย วางแผนไว้ว่าจะไปดูวิวที่ Umeda Sky Building: the Floating Garden Observatory แล้วอาจไปนั่งชิงช้า Hep Five กัน ตบท้ายด้วยย่าน Namba ไปขึ้นเรือ Tombori River Cruise แล้วหามื้อเย็นทาน + Shopping แถวนั้น





แต่น้องฝนที่รักดันตกลงมา เลยต้องเปลี่ยนแผนไปนั่งหลบฝนกันอยู่ที่ Floating Garden Observatory ตั้งแต่ตะวันยังไม่ตกดินจนฟ้ามืดเลยทีเดียว ทำให้ต้องตัด Hep Five กับ Tombori River Cruise ทิ้งค่ะ เหลือไว้แค่ไปหามื้อเย็นทาน + Shopping ย่าน Namba แล้วเดินกลับโรงแรม




อยู่กันตั้งแต่ฟ้าสว่างจนฟ้ามืดเลยค่ะ

Umeda Sky Building เป็นอีกหนึ่ง landmark ของโอซาก้า โดดเด่นใจกลางเมืองด้วยความสูงถึง 173 เมตร Skyscrapper แห่งนี้สร้างเสร็จเมื่อปี 1993 มีความเป็นเอกลักษณ์ด้วยการเชื่อมต่ออาคาร 2 ตึกกลางอากาศ มีบันไดเลื่อนเชื่อมจากตึกหนึ่งไปอีกตึกหนึ่ง (บันไดเลื่อนน่ากลัวมากกกก รู้สึกหวิวๆ ทั้งขาขึ้นและขาลง) 
สวนลอยฟ้า หรือ Floating Garden จะตั้งอยู่บนชั้น 40 ค่ะ ซึ่งถึงแม้มันจะใช้ชื่อว่า "สวน" "garden" แต่มันไม่ได้เป็นสวนหรอกนะคะ 





คหสต.


รู้สึกโชคดีที่ฝนตกค่ะ ไม่อย่างนั้น เราคงไม่ได้อยู่ชมวิวยามค่ำคืนที่นี่
สวยมากจริงๆ ค่ะ น่าเสียดายที่ตอนออกไปตรง Floating Garden ฝนก็ยังคงปรอยอยู่ เลยถ่ายรูปแบบรีบๆ ค่ะ กลัวป่วย ต้องอยู่เที่ยวกันอีกหลายวัน

แถมย่านสุดท้ายค่ะ Namba









12 ตุลาคม 2557

mini Review: Toyoko inn Osaka Shinsaibashi Nishi

ที่พักใน Osaka ของเรา 2 คืน เราพักกันที่นี่ค่ะ 
โรงแรม Toyoko inn Osaka Shinsaibashi Nishi

Toyoko inn เป็น Business hotel ที่คนไทยนิยมกันมากแห่งหนึ่งเลยค่ะ

โรงแรมในเครือ Toyoko inn แต่ละแห่งจะราคาไม่เท่ากัน และมีรูปแบบห้องให้บริการไม่เหมือนกัน แต่โดยเฉลี่ยแล้ว ที่นี่ราคาไม่แพง และถ้าสมัครเป็นสมาชิก ก็จะมีส่วนลดให้ แล้วถ้าเลือกเป็น Economic plan (คือไม่ให้ทางโรงแรมต้องมาทำความสะอาดห้อง) ราคาก็จะลดลงอีกเล็กน้อย
อุปกรณ์ต่างๆ ในห้องค่อนข้างครบครัน
มีชุดนอนให้บริการอยู่ที่ Lobby ด้านล่าง (อยู่ในตู้อบ ซึ่งเราจะต้องไปหยิบเองค่ะ)
แถมยังมีอาหารเช้าให้บริการฟรีอีกต่างหาก

ป.ล. ชอบแชมพูสระผมมาก เป็นแชมพูที่สระเสร็จแล้ว ผมนิ่มเลยโดยไม่ต้องใช้ครีมนวดผม สงสัยมากว่าใช้ของยี่ห้ออะไร

โรงแรม Toyoko inn Osaka Shinsaibashi Nishi

การเดินทาง 

1 minute walk from the No.4 exit of Yotsubashi Station on the subway Yotsubashi Line
8 minutes walk from the No.8 exit of Shinsai-bashi Station on the Subway Midosuji Line




Toyoko สาขานี้อยู่ใกล้สถานี Yotsubashi มากเลยค่ะ ออกที่ exit#4 ปุ๊บ มองไปขวามือจะเห็นป้ายชื่อโรงแรมเลย (เป็นภาษาญี่ปุ่น) เดินไป 1 นาทีก็ถึงจริงๆ ใกล้มี minimart ด้วย ไม่อดตายแน่นอนค่ะ

จากที่โรงแรมสามารถเดินไป Shinsaibashi และ Dotonbori (ป้ายกูลิโกะ) ได้เลยนะคะ (แต่อาจจะไกลสักหน่อย) เรากับเพื่อน เดินไป-กลับโรงแรมกับ Dontonbori กันทุกวันเลยค่ะ อารมณ์ว่าร้านค้ายังไม่ปิด เราจะไม่กลับโรงแรมกัน อยู่กันจนย่านร้านค้าปิดถึงจะกลับกัน 555+

ห้องที่เราพักเป็นห้องแบบ Economy Double Room
สภาพห้องพักก็สไตล์ Business Hotel ค่ะ ห้องพักจะเล็กมาก แต่ก็ครบครัน
เตียงนอนของห้อง Economy Double Room นี้จะกว้างแค่ 140 cm เท่านั้นค่ะ ผู้หญิงสองคนนอนได้สบายมาก แต่ถ้าเป็นผู้ชายตัวใหญ่ๆ สองคน เตียงนอนขนาดนี้ ไม่พอแน่ๆ ค่ะ


11 ตุลาคม 2557

Day 1: Osaka กุหลาบงามกลางเดือนพฤษภาคม

Day 1: Osaka กุหลาบงามกลางเดือนพฤษภาคม
Day 2: Osaka Amazing Pass
Day 3-4: Kyoto Aoi Matsuri
Day 5: Nara and Night bus to Kawaguchiko
Day 6: Kawaguchiko มาปั่นจักรยานกันเถอะ
Day 7: Fuji Shibazakura Festival
Day 8-11: Tokyo (1)
Day 8-11: Tokyo (2) - Kawasaki

∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇

:: Kansai Thru Pass // Day 1

วันแรกนี้จัดทริปตามรีเควสเพื่อนค่ะ 
Rose garden เป็นอะไรที่คุณเพื่อนของเรารีเควสมากค่ะ นางเป็นพวกคลั่งไคล้ดอกกุหลาบอย่างหนัก รักกุหลาบประหนึ่งลูก เห็นไม่ได้ต้องเข้าไปถ่ายรูปสักหน่อย ดมสักนิด แล้วนางจะฟินมากมาย

ดังนั้น พอเหยียบถึงแผ่นดินญี่ปุ่นที่สนามบินคันไซ (KIX) หลังจากจัดการซื้อ pass ต่างๆ เสร็จ เอากระเป๋าไปฝากที่โรงแรมแล้ว พวกเราก็ตรงดิ่งไปหาน้องกุหลาบในทันที

วันแรกนี้ เราใช้ Kansai Thru Pass กันเป็นวันแรกค่ะ 

เราขอบอกเลยว่าแพลนเรา การซื้อ Kansai Thru Pass แพงกว่าการซื้อเป็นเที่ยวๆ ค่ะ (ไม่ควรเอาเยี่ยงอย่าง)
แต่ ณ จุดนั้น คือทำการบ้านน้อยมาก เป็นทริปที่กะทันหันสุดๆ เลยเอาสะดวกเข้าว่าค่ะ

เริ่มชมสวนกุหลาบกันได้เลยค่าาา


ที่แรก ขอแนะนำ Nakanoshima Rose Garden หรือ Nakanoshima-koen 

การเดินทาง  Yodoyabashi Station/Midosuji Line หรือ Kitahama Station/Keihan Line (ทางออกหมายเลย 1) 

เปิดทุกวัน ไม่เสียค่าเข้าชม (ก็เป็นสวนสาธารณะนี่เนอะ)




Nakanoshima-koen ป็นสวนสาธารณะแห่งแรกของเมืองโอซาก้า สร้างขึ้นในปี 1891 เป็นสวนสาธารณะริมน้ำที่ตั้งอยู่ระหว่างแม่น้ำ Dojima และแม่น้ำ Tosabori และเป็นที่รู้จักกันดีของชาวเมืองในฐานะ Oasis ใจกลางโอซาก้า เรียกได้ว่าเป็นสวนสาธารณะที่ตั้งอยู่กลางเมืองเลยค่ะ ล้อมรอบไปด้วยตึกอาคารสูงต่างๆ

ใกล้ ๆ กันมีสถานที่สำคัญอยู่หลายแห่ง เช่น Osaka Central Public Hall, The Museum of Oriental Ceramics (ที่หลังนี่ถ้าจำไม่ผิดจะสามารถเข้าชมฟรีได้หากมี Osaka Amazing Pass --- โปรดเช็คข้อมูลอีกครั้งหนึ่งนะคะ คุ้นๆ แต่ไม่แน่ใจเหมือนกัน)




ป้ายทางเข้า (ตามรูปด้านบน) จะอยู่ตรงข้ามกับ Osaka Central Public Hall (หอประชุมเมืองโอซาก้า) เลยค่ะ

จากข้อมูล บอกไว้ว่า ปัจจุบันภายในสวนมีสวนกุหลาบราว 100 ชนิด รวมกว่า 4,000 ต้น จะสวยงามมากในช่วงกลางเดือนพฤษภาคมจนถึงกลางเดือนตุลาคม ช่วงปลายปีมีการจัดงานแสงเสียงภายในสวน 



ช่วงที่เราไป เป็นช่วงกลางเดือน พ.ค. ซึ่งเป็นช่วงพีคของดอกกุหลาบพอดี บานทั้งสวนเลยค่ะ แถมมีคุณครูพอน้องๆอนุบาลออกมาเดินเที่ยวด้วยค่ะ น่ารักมากกกก น้องๆชวนกันดมดอกไม้กันใหญ่เลย ดูเป็นเด็กสุขภาพจิตดีกันมากๆ อยากให้เมืองไทยมีพาไปที่แบบนี้บ้าง (แต่คงต้องระวังมากๆ ไม่งั้นมีหวังเด็กหาย)




สวนที่นี่กว้างมากค่ะ เต็มไปด้วยกุหลาบ กุหลาบ กุหลาบ และดีตรงที่กุหลาบแต่ละแปลง เค้าจะมีป้ายติดไว้ด้วยว่าเป็นกุหลาบพันธุ์ไหน ซึ่งเพื่อนเราฟินมากๆๆๆค่ะ ผู้หญิงน่าจะชอบค่ะ

ขนาดเราไม่ค่อยอินกับกุหลาบ ยังรู้สึกเลยว่า ดอกกุหลาบที่นี่สวยและดอกใหญ่มากกกก (ซึ่งต่อมาค้นพบว่า ดอกไม้ในญี่ปุ่น ไม่เฉพาะดอกกุหลาบ ดอกใหญ่กว่าที่เมืองไทยมากค่ะ ถามคนญี่ปุ่น เค้าไม่ได้ตื่นเต้นอะไรเลยค่ะ บอกว่าก็ดอกขนาดธรรมดาๆ ….ก็น่าจะธรรมดาของเค้าแหละค่ะ เพราะขนาดกุหลาบที่ปลูกอยู่หน้าบ้านทั่วๆไปยังดอกใหญ่เลยค่ะ) กลิ่นนี่ไม่ต้องพูดถึง เดินๆอยู่ในสวนไม่ต้องเอาจมูกเข้าไปดมยังได้กลิ่นกุหลาบเลยค่ะ หอมอบอวลมากมาย

Nakanoshima จึงเหมาะกับคนชอบดอกไม้ รักดอกกุหลาบค่ะ มาถ่ายรูปดอกไม้จะสวยงามมาก

แต่ที่นี่ไม่ค่อยร่มรื่นย์นะคะ อารมณ์ว่าเป็น Rose garden จริงๆ ไม่ค่อยมีต้นไม้ใหญ่เท่าไหร่ เลยไม่ค่อยมีร่มให้นั่งเล่น แดดแรงพอประมาณ แต่ไม่ร้อนค่ะ อุณหภูมิช่วงที่เราไปอยู่ประมาณ 15-18 องศา อากาศกำลังสบายเลยค่ะ

ออกจาก Nakanoshima Park เรากับเพื่อนก็ตรงไปที่ สวนสาธารณะอีกแห่งหนึ่ง (เพื่อชมกุหลาบตามเคย) 
ที่ต่อมาเราไปกันที่ Utsubo park

การเดินทาง Honmachi stn./Yotsubashi line exit #28 -> 4 min. walk 
เปิดทุกวัน ไม่เสียค่าเข้าชม 

ช่วงเวลาที่เหมาะกับการเข้าชม ฤดูใบไม้ผลิ กลางเดือนพฤษภาคมถึงต้นเดือนมิถุนายน และฤดูใบไม้ร่วง ปลายเดือนตุลาคม ถึงกลางเดือนพฤศจิกายน






ตามข้อมูล ที่นี่มีกุหลาบกว่า 160 ชนิด ราว 3,400 ต้น ในเนื้อที่สวนกว่า 9,000 ตร.ม. ที่ถูกปรับปรุงใหม่เพื่อเตรียมรับ “การประชุมกุหลาบโลก”ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งแรกในเอเชียเมื่อปี 2006 สวนแห่งนี้ถูกออกแบบโดยการใช้ลักษณะพื้นที่ที่มีความลุ่มดอนต่างกันเพียงเล็กน้อยสร้างเป็นทิวทัศน์ภูเขา ชนบท ไร่นา เมือง และทะเลจากทิศตะวันออกไปยังทิศตะวันตก มีการปลูกกุหลาบนานาพันธุ์ตั้งแต่กุหลาบป่าที่มีอยู่ในเอเชียรวมทั้งประเทศญี่ปุ่นไปจนถึง Modern Rose หรือกุหลาบสมัยใหม่เพื่อแสดงถึง “ประวัติความเป็นมาของกุหลาบ”

ส่วนความเห็นของเรา ที่ Utsubo park จะเป็นฟีลคล้ายๆ สวนลุมฯค่ะ คือ เป็นสวนสาธารณะจริงๆ  (แต่เล็กกว่า และสวยกว่า) ร่มรื่นย์มากกว่าที่ Nakanoshima park เรานอนลงไปบนหญ้า แล้วคืออยากหลับอยู่ตรงนั้นเลยค่ะ อากาศดีมาก ลมเย็นๆ กลิ่นหอมๆของกุหลาบ มันน่านอนจริงๆ (จริงๆ ขณะที่เพื่อนเราไปตามถ่ายรูปดอกกุหลาบ เราก็นอนอยู่ตรงกระเป๋ากับรองเท้าที่เห็นนั่นแหละค่ะ 555+)



ที่นี่มีคนมาปิคนิคกันเยอะมาก ได้อารมณ์ว่าอยู่ญี่ปุ่นแท้ๆ มีคุณพ่อคุณแม่ยังสาวกับลูกน้อย คุณครูกับนักเรียน คนดูแลกับผู้สูงอายุ เจ้าของกับน้องหมา เพื่อนสาวมาปูเสื่อปิคนิคกัน คือครบมากค่ะ 
แถมพอเริ่มเย็น ก็มีหนุ่มออฟฟิศปั่นจักรยานผ่าน (แบบว่า ดีอ่ะ!) มีวัยรุ่นมาเล่นดนตรีอยู่ในสวนอีก 
นี่มันการ์ตูนญี่ปุ่นชัดๆ!!!




เราทานมื้อกลางวัน (ค่อนบ่าย) ที่นี่ โดยซื้อเบนโตะจากร้าน Family mart มาทานในสวนกับเพื่อนค่ะ ทำตัวเป็นคนญี่ปุ่นสุดๆ 555+

ป.ล. ถังขยะเป็นของที่หายากมากๆ 


สถานที่ชมกุหลาบอีกแห่งหนึ่งที่เพื่อนเราลิสต์ไว้ (แต่ไม่ได้ไป) คือ David Austin Rose Garden 

ที่นี่จะเปิดให้เข้าชมเป็นช่วงๆ ค่ะ ส่วนจะเปิดช่วงวันใดนั้นต้องเช็คกับทาง website ค่ะ

ทริปกะทันหัน Osaka-Kyoto-Kawaguchiko-Tokyo 2014

ทริปนี้เป็นทริปที่ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมากกก

เดิมตอนปลายปี 2013 เราเคยวางแผนจะไปญี่ปุ่นกับเพื่อนอีกคนนึงในช่วงต้นเดือน พ.ค. 2014 ค่ะ แต่สุดท้ายทริปล่มไปตั้งแต่ตอนต้นปี 2014 ก็ไม่คิดว่าจะได้ไปญี่ปุ่นตอนช่วง พ.ค. อีก แต่ตั้งใจไว้ว่ายังไงก็จะไป แต่ถ้าไปคนเดียวจะไปช่วง พ.ย. (ใบไม้แดง)

จนกระทั่งอยู่ๆ วันที่ 2 พ.ค. เพื่อนอีกคนก็มาชวนไปเที่ยว (แบบไม่ระบุสถานที่) เราเลยเสนอว่าไปญี่ปุ่นมั้ย?

วันที่ 3-4 พ.ค. ต่างคนต่างไปตัดสินใจว่าจะไปมั้ย
วันที่ 5 พ.ค. จองตั๋วเครื่องบิน
วันที่ 12 พ.ค. บิน

ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก เรื่องวางแผนเที่ยวนี่ไม่ต้องพูดถึง จองโรงแรมยังจองไม่ครบวัน มีแค่แพลนคร่าวๆ ว่าจะไปเมืองไหนบ้าง แถมยังเป็นแพลนแบบว่าพร้อมจะเปลี่ยนได้ตลอดเวลา ชิลกันสุดๆ (ดีว่าเคยศึกษาไว้บ้างตั้งแต่ตอนปลายปี 2013 ก่อนทริปล่ม)

แต่ก็ด้วยความที่ไม่ค่อยได้วางแผนนี่แหละ ทำให้ดินหลงกันทุกวัน ใช้ sense ทีไร ผิดทางตลอดดดด แถมยังมีเหตุการณ์กระเป๋าเงินหาย ต้องไปแจ้งความที่สถานีตำรวจ (unseen มากๆค่ะ) แต่บางทีก็มีไปเจอที่ที่ประทับใจ แต่ไม่ค่อยเห็นคนไทยเท่าไหร่ (นอกนั้นเจอคนไทยทุกที่ รู้สึกอุ่นใจเหมือนอยู่บ้านเราค่ะ) ฮาาาา

สรุปข้อมูลทริปคร่าวๆ

สมาชิกร่วมทริป : เราและเพื่อนสาวอีก 1 คน รวมสมาชิกร่วมทริปคือผู้หญิง 2 คนถ้วนค่ะ

วันที่เดินทาง : วันที่ 12-24 พ.ค. 2557 รวม 13 วัน 11 คืน

สถานที่ : Osaka - Kyoto - Kawaguchiko - Tokyo

เดินทางโดย การบินไทย (BKK - KIX (Osaka) และ HND (Tokyo) - BKK)

ค่าใช้จ่าย : 
1. ค่าตั๋วเครื่องบิน 21,715 บาท (โปรฯ รักคุณเท่าฟ้า + บัตรเครดิตร่วมรายการลด on top อีก 5%)
2. ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ทั้งหมด พวกค่าการเดินทางภายในญี่ปุ่น ค่าโรงแรม ค่าเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ค่าอาหาร (ไม่รวมค่า Shopping) รวมแล้วประมาณคนละ 30,000 บาทค่ะ 
Shopping อย่าได้ถามว่าหมดไปเท่าไหร่ โดนดักตั้งแต่ King Power เลยค่าาาา

แพลน
Day 1 Bangkok - KIX (Osaka)
Day 2 Osaka                       นอน Osaka
Day 3 Osaka                       นอน Osaka
Day 4 Osaka - Kyoto          นอน Kyoto
Day 5 Kyoto                        นอน Kyoto
Day 6 Kyoto - Nara             นอนบน Night bus
Day 7 Kawaguchiko            นอน Kawaguchiko
Day 8 Kawaguchiko - Tokyo   นอน Tokyo
Day 9 Tokyo                            นอน Tokyo
Day 10 Kawasaki                    นอน Tokyo
Day 11 Tokyo                          นอน Tokyo
Day 12 Tokyo                          นอน Tokyo
Day 13 Tokyo - Bangkok

เราเริ่มกำหนดแพลนนี้โดยเงื่อนไข คือ 
  1. เพื่อนรีเควส 1 วันในโอซาก้าไปชมดอกกุหลาบ (เพื่อนเราบ้ากุหลาบมากๆ รักดอกกุหลาบสุดๆ แถมช่วงที่ไปเป็นช่วงพีคของดอกกุหลาบพอดี เพื่อนขอ 1 วัน เราก็จัดให้ค่าาา)
  2. วันที่ 15-16 (Day 4-5) จะต้องอยู่ที่เกียวโต เพราะตรงกับเทศกาล Aoi Matsuri ซึ่งเป็นเทศกาลใหญ่เทศกาลนึงของเกียวโต เพื่อนที่เป็นคนเกียวโตแนะนำมาเองเลย ยังไงก็ต้องไป
    จริงๆ มีงานวันที่ 15 พฤษภาคมของทุกปีค่ะ ยกเว้นฝนตกจะเลื่อนไปวันที่ 16 แทน
  3. ไปดู Shibazakura ที่ Kawaguchiko ...อันนี้เรารีเควสเองค่ะ จริงๆ เราตั้งใจไป Kawaguchiko อยู่แล้ว ซึ่งช่วงเดือนพฤษภาจะมีเทศกาลชมดอก Shibazasura ที่นั่นพอดี ...ต้องไปค่ะ
  4. ไปพิพิธภัณฑ์โดราเอมอน ...ขอไปพบปะเพื่อนวัยเด็กสักหน่อยค่ะ
นอกนั้นคือไม่มีอะไรเป็นพิเศษค่ะ ไปไหนก็ได้ สองสาวชิลกันมากๆ ค่ะ
(ยิ่งวันหลังๆ ที่โตเกียวนี่ยิ่งชิลมาก นอนตื่นสาย (เพราะหมดแรงจากการตะลุยเที่ยวมาก่อนหน้านี้) เดินกันเป็นกิโลทั้งที่นั่งรถไฟก็ได้ แต่เราไม่ทำค่ะ 555+)

สถานที่ที่ไปมาจริง
อย่างที่บอกค่ะ ตอนไปมีแต่แผนคร่าวๆ ว่าอยากไปที่ไหนบ้าง ที่โตเกียวนี่คือมั่วมาก คิดกันวันต่อวัน เพราะฉะนั้นบางวันไม่ควรทำตามนะคะ

วันที่ 12 ออกเดินทางจากประเทศไทย ถึง KIX เช้าวันที่ 13

วันที่ 13 Osaka : Nakanoshima park - Utsubo park - Shinsaibashi/Dotonbori : พักที่ Tokoyo inn Osaka Shinsaibashi Nishi

วันที่ 14 Osaka : Osaka castle/Nishinomura Garden/Osaka Museum of History - Osaka Museum of Living and Housing - Cruise Ship Santo Maria/Tempozan Giant Ferris Wheel - Floating Garden Observatory - Shinsaibashi/Dotonbori : พักที่ Tokoyo inn Osaka Shinsaibashi Nishi

วันที่ 15 Kyoto : เทศกาล Aoi Matsuri - Kamogama river: พักที่ Toyoko inn Kyoto Shijo Karasuma

วันที่ 16 Kyoto : วัดทอง Kinkakuji -Nijo-jo Castle - Kiyomizudera/Higashiyama street - Fushimi Inari Shrine : พักที่ Toyoko inn Kyoto Shijo Karasuma

วันที่ 17 Kyoto/Nara : Kyoto station/Kyoto Tower - Todaiji Temple (Nara) : นั่ง Night bus จาก Kyoto ไป Kawaguchiko

วันที่ 18 Kawaguchiko : Chureito Pagoda - Kawaguchiko lake : พักที่ K’s house Mt.Fuji

วันที่ 19 Kawaguchiko/Tokyo : Shibasakura (Pinkmoss) - Bus จาก Kawaguchiko station มา Shinjuku, Tokyo : พักที่ Toyoko inn Tokyo Akiba Asakusabashi-eki Higashi-guchi

วันที่ 20 Tokyo : Sensoji Temple - Imperial Palace - Akihabara : พักที่ Nihonbashi Villa (ย้ายที่พัก เพราะที่ Toyoko inn ไม่ว่างต่อกันค่ะ)

วันที่ 21 Near Tokyo (Kawasaki) : Doraemon Museum - Nihon Minka-en Japan Open-air Folk House Museum : พักที่ Nihonbashi Villa

วันที่ 22 Tokyo : Shibuya - Harajuku : พักที่ Nihonbashi Villa

วันที่ 23 Tokyo : ตลาดปลา Tsukiji - Ginza - Ameyoko/Takeya (Ueno) - Yodobashi (Akihabara) : พักที่ Nihonbashi Villa

วันที่ 24 เดินทางกลับสู่ประเทศไทย

การเดินทาง
สรุปว่าเราเดินทางโดยใช้
1-day Osaka Amazing Pass (วันที่ 14)
3-days Kansai Thru Pass (วันที่ 13, 15 และ 17)
Night bus จาก Kyoto - Kawaguchiko
Highway bus จาก Kawaguchiko - Tokyo

ส่วนใน Tokyo เราไม่ได้ใช้ pass อะไรเลย เนื่องจากตอนไปยังไม่มีแพลนเลยว่าจะไปไหนบ้าง เปลี่ยนแพลนกันทุกวัน เลยใช้เป็น Suica แทนค่ะ

**ส่วนตัวเราว่า ถ้าไปแค่ Osaka - Kyoto - Nara - Kobe ประมาณนี้ ใช้ KTP ไม่ค่อยคุ้มนะคะ (ในกรณีแบบเราซึ่งนอนเกียวโตนะคะ ถ้าต้องไป-กลับโอซาก้าก็อีกเรื่องนึง) แต่ถ้าไปจนถึง Himeji นี่ถึงจะคุ้ม (แต่เนื่องจากช่วงที่ไปปราสาทฮิเมจิยังอยู่ในช่วงรีโนเวทอยู่ เลยไม่ได้ไปค่ะ)


ข้อมูลประกอบการตัดสินใจ

1. Osaka Amazing Pass 
แบบ 1-day ราคา 2300Y
แบบ 2-days ราคา 3000Y    

ใช้ครอบคลุมเฉพาะใน Osaka (อะไรบ้าง โปรดเช็คกับเว็บด้านบน) และสามารถเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวได้ฟรี 28 แห่งตามที่ระบุไว้    
แบบ 1-day กับ 2-day จะใช้กับสายรถไฟได้แตกต่างกันนะคะ โดยแบบ 1-day จะใช้ได้ครอบคลุมมากกว่า 
การนับวัน ต้องนับต่อกันเท่านั้น เช่น 2-day ใช้ครั้งแรกวันที่ 12 ก็จะใช้ได้เฉพาะวันที่ 12 กับ 13 เท่านั้น จะเก็บไว้ใช้แบบแยก แบบใช้ครั้งแรกวันที่ 12 แล้วใช้ครั้งต่อไปวันที่ 14 ไม่ได้

2.  Kansai Thru Pass 
แบบ 2-days ราคา 4000Y
แบบ 3-days ราคา 5200Y

ใช้ครอบคลุมในภูมิภาค Kansai (อะไรบ้าง โปรดเช็คกับเว็บด้านบน) 
สามารถใช้กับรถไฟสาย Nankai เพื่อออกจาก KIX ได้ และใช้กับรถบัสในเกียวโตได้ 
การนับวัน จะนับเฉพาะวันที่ใช้บัตร เพราะฉะนั้น ไม่จำเป็นต้องใช้ติดต่อกันก็ได้        


3.1 Kyoto City Bus All-day Pass ราคา 500Y 
จะใช้ได้เฉพาะรถบัสใน City Zone เท่านั้น

3.2 Kyoto Sightseeing 1/2-day Pass 
แบบ 1-day ราคา 1200Y
แบบ 2-days ราคา 2000Y
สามาถใช้ได้กับ City bus (รู้สึกว่าจะครอบคลุมรถบัสมากกว่าตัวบน) และ Subway (Karasuma line and Tozie Line)    

ของเกียวโต เราหาข้อมูลไว้เผื่อเฉยๆค่ะ เพราะเราเที่ยวคันไซทั้งหมด 5 วันและพักอยู่เกียวโตหลายวันมาก แต่สุดท้ายไม่ได้ใช้ เพราะเพื่อนที่อยู่ที่โน่นขับรถมารับไปเที่ยว

****เพิ่มเติมกระทู้เกี่ยวกับ Pass ใน Kansai ค่ะ 
===========

ข้อมูลสำหรับรถบัส

1. Night bus จาก Kyoto - Kawaguchiko

1.1 ราคา 6200 Y (แบบ 4 ที่นั่ง เหมือนรถทัวร์บ้านเรา --- จริงๆมันมีอีกแบบ เป็นแบบ 3 ที่นั่ง นั่งแยกเดี่ยวๆกันหมด แต่จำไม่ได้ว่าเท่าไหร่ค่ะ)
ใครอ่านญี่ปุ่นออก ลองดูอันนี้ก็ได้ค่ะ มันถูกกว่าอีกอันหนึ่งเยอะอยู่เหมือนกัน เราลองถามเพื่อนที่อ่านญี่ปุ่นออก เค้าบอกว่าจองทาง internet ก็ได้ แต่จะแพงขึ้นอีกนิดหน่อย (แต่ภาษาญี่ปุ่นล้วนๆ นะคะ ไม่มีอังกฤษเลย) หรือจองทางโทรศัพท์ หรือ convenience store ก็ได้
ใน Pantip มีคนเคยจองผ่านโทรศัพท์อยู่บ้างเหมือนกัน

แต่สำหรับเรา (ซึ่งอ่านญี่ปุ่นไม่ออก และยังงงๆ กับแผนการเที่ยวของตัวเองอยู่) เราไปซื้อที่สถานี Kyoto เช้าวันที่จะเดินทางเลยค่ะ (ถ้าช่วงเทศกาล แนะนำให้จองล่วงหน้านะคะ เราวัดดวงเอามากๆ)
ที่ซื้อตั๋ว คือ ตรงหน้าทางเข้ารถไฟสาย Kintetsu เลยค่ะ (เราซื้อตั๋วเสร็จ แล้วนั่ง Kintetsu ไปเที่ยว Nara ต่อเลย)
ถ้ามาถึง Kyoto station โดย subway พอออกจาก subway ให้เดินไปตามทางออก south exit #Hachijo 
เดินไปเรื่อยๆจะเจอทางเข้าสำหรับ JR เดินผ่านไปค่ะ  -> ผ่านจากตรงนี้ไปจะเริ่มเข้าสู่โซนร้านอาหาร (อย่าเพิ่งหวั่นไหวค่ะ เดินต่อไป) -> เดินไปเรื่อยๆ จะเจอร้าน Uniqlo เล็กๆอยู่ขวามือ ติดกับร้าน Uniqlo จะเป็นบันไดเลื่อน -> เดินขึ้นบันไดเลื่อนไป มองขวามือไว้ จะเจอจุดที่ซื้อตั๋วเลยค่ะ (ตอนนี้ด้านหลังเราจะเป็นทางเข้ารถไฟสาย Kintetsu) 
จุดที่เราจะซื้อตั๋วรถบัสจะเป็นจุดเดียวกับที่ซื้อตั๋วรถไฟด้วย แต่ที่สำหรับซื้อตั๋วรถบัสจะอยู่เคาท์เตอร์สุดท้ายค่ะ (ถามพนักงานข้างในนั้นอีกทีก็ได้ค่ะ)
ส่วนที่ขึ้นรถจะอยู่ตรงใกล้ๆกับประตูทางออกซึ่งอยู่ตรงข้ามกับร้าน Uniqlo ที่เราเดินผ่านมาตอนแรกนั่นแหละ (พอเราซื้อตั๋วเสร็จ พนักงานจะบอกเราอีกทีค่ะ)

1.2 ราคา 8000 Y

2.  Night bus จาก Kyoto ไป Tokyo
ราคามีหลากหลายมากๆค่ะ ยิ่งจองล่วงหน้าเร็ว ยิ่งถูก บางครั้งเห็นตั้งแต่ประมาณ 3000 กว่าๆเยน จนถึง 5000 หรือ 7000 ก็มี 
ซึ่งจะเห็นว่าถ้านั่งบัสจากเกียวโตไปโตเกียวเลย บางทีมันถูกกว่านั่งจากเกียวโตไปคาวากูจิโกะอีก เก็บไว้เป็นอีหนึ่งทางเลือกได้ค่ะ 
แต่สำหรับเลือกตรงไปที่คาวากูจิโกะเลย เพราะไม่อยากเสียเวลาจากโตเกียวไปคาวากูจิโกะอีกเท่านั้นเองค่ะ

3. Highway Bus จาก Kawaguchiko - Tokyo (Shinjuku station)
ราคา 1,750 Y

<<Tips>>
1. ถ้ามีเวลา 7 วันหรือน้อยกว่า แนะนำว่าอย่าข้ามภูมิภาคเลยค่ะ เรามี 11 วันเต็มๆ ข้ามภูมิภาค ยังเที่ยวไม่ทั่วเลย ยังไงก็คงต้องกลับไปซ่อมอีกค่ะ
(เมษายน 2015 ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด เราจะไปซ่อม Kansai ค่ะ --- ถ้าไม่นับฟูจิซัง เราชอบบรรยากาศของแถบเกียวโตมากกว่าโตเกียวเยอะเลยค่ะ ^___^ )
2.ใครไปทริปยาวๆ มากกว่า 7 วันแบบนี้ อย่าจัดโปรแกรมแน่นเกินไปนะคะ ควรมีวันพักให้ร่างกายด้วย เดี๋ยวร่างกายจะไม่ไหวเอา
3. รองเท้าเป็นสิ่งสำคัญมากที่สุดในสามโลก เรากลับมาเล็บเขียวเลยค่ะ หยิบรองเท้าไปผิดคู่ ไม่นึกว่ามันจะหนักหนาสาหัสขนาดนี้
4. สถานีรถไฟไม่ได้มีลิฟท์ทุกสถานี ดังนั้น ถ้าคุณเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ (แบบเรา) อย่าเอาของไปเยอะ การลากกระเป๋าหนัก 20 kg ขึ้น-ลงบันไดสถานีรถไฟ ไม่ใช่เรื่องสนุกเลย 

∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇

Day 1: Osaka กุหลาบงามกลางเดือนพฤษภาคม
Day 2: Osaka Amazing Pass
Day 3-4: Kyoto Aoi Matsuri
Day 5: Nara and Night bus to Kawaguchiko
Day 6: Kawaguchiko มาปั่นจักรยานกันเถอะ
Day 7: Fuji Shibazakura Festival
Day 8-11: Tokyo (1)
Day 8-11: Tokyo (2) - Kawasaki

∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇