10 ตุลาคม 2557

ไปญี่ปุ่นเตรียมตัวยังไงดี (ต่อ)

UPDATE 2018!!! จขบ. กำลังทยอยรีไรท์และเพิ่มเติมข้อมูลเกี่ยวกับการเตรียมตัวเที่ยวญี่ปุ่นที่อยู่ใน blog นี้ใหม่อยู่นะคะ โดยสามารถอ่านฉบับอัพเดทได้จาก link ในหัวข้อ STARTER ไปญี่ปุ่น เตรียมตัวยังไงดี ทางคอลัมน์ขวามือของบทความนี้เลยค่ะ >>>>>


มาต่อกันเรื่องการวางแผนท่องเที่ยวค่ะ
จริงๆ เรื่องนี้รายละเอียดเยอะมาก เขียนยังไงคงไม่หมด แต่ยังสไตล์ใครสไตล์มันอีกต่างหาก จะเขียนเท่าที่เขียนได้แล้วยังนะคะ

> การวางแผนการท่องเที่ยว
> การเดินทาง
> ที่พัก
> ร้านอาหาร
> ค่าใช้จ่าย
> Shopping




การวางแผนการท่องเที่ยว
เรื่องนี้จริงๆ ค่อนข้างสไตล์ใครสไตล์มันมากๆ แต่ขอแบ่งปันวิธีของเราและกระทู้ที่น่าจะมีประโยชน์นะคะ

กระทู้ภาพรวม
โดยปกติ เราจะเริ่มต้นด้วยว่า อยากไปที่ไหนหรือเมืองไหน มีเวลากี่วัน
อย่างถ้ามีเวลาประมาณ 7 วัน ส่วนตัว เราว่าไปภูมิภาคเดียวดีกว่าค่ะ อย่าข้ามภูมิภาคเลย เพราะขนาดเรามี 12 วันเต็มๆ ในการเที่ยว ไปทั้งคันไซและคันโต เราบอกเลยว่าเที่ยวไม่ทั่วค่ะ ต้องไปซ่อมอีก

พอได้เมืองหรือที่เที่ยวมา เราจะไปดูที่ website www.japan-guide.com ค่ะ
ดีมากๆ ค่ะ จะเริ่มต้นจากเมืองที่เราอยากไปแล้วค่อยหาสถานที่เที่ยวในเมืองนั้น หรือจะเริ่มต้นจากสถานที่ที่เราอยากไป แล้วค่อยหาที่เที่ยวอื่นใกล้ๆก็ได้ บอกวิธีการเดินทาง วัน เวลาเปิด-ปิดเสร็จสรรพ
พอได้มาว่ามีที่ไหนน่าเที่ยวบ้างก็จดๆๆๆไว้ค่ะ
แล้วดูประกอบกับ << กระทู้ Review >> ใน Pantip ค่ะ อยากไปเมืองไหนก็ smart search หรือไม่ก็ Google เลยค่ะ เพื่อนๆ หลายๆ ท่านใน Pantip ทำรีวิวไว้ดีมากๆ และบางรีวิวก็ละเอียดมากๆ เลยค่ะ
(ถ้ามือใหม่มากแบบงงสุดๆ ไม่รู้อะไรเลย แนะนำว่าเริ่มต้นจากหนังสือสักเล่มก็ได้ค่ะ จะซื้อหรือยืมในห้องสมุดก็ตามสบายเลยค่ะ เอามาให้เห็นภาพรวมก่อน)

พอได้สถานที่ท่องเที่ยวที่อยากไปมา ก็มาใช้สิ่งนี้ค่ะ “Google Maps Combo”
อยากไปเที่ยวที่ไหนก็จัดการ pin เข้าไปใน google maps เลยค่ะ จะทำให้เราเห็นภาพรวมว่าอะไรก็ตรงไหน ที่ไหนใกล้-ไกลกันอย่างไร
ต้องอาศัยความถึกและความขยันเล็กน้อยค่ะ 
อย่าขี้เกียจน้าาา ถ้าขี้เกียจ ขอร้องอย่าไปตั้งกระทู้ในพันทิปว่า "ไปญี่ปุ่น ... วัน ช่วยจัดทริปให้หน่อยนะคะ" ไม่ค่อยมีคนตอบหรอก แต่ถ้าจัดมาบ้างแล้ว แล้วให้ช่วยตรวจนี่ มีคนพร้อมช่วยตอบอยู่แล้วค่ะ ถ้าจะขี้เกียจขนาดนั้น ก็แนะนำว่าไปกับทัวร์เถอะค่ะ จะได้สบายๆ ไม่ต้องหาข้อมูลมากเนอะ 

นอกจากนี้ สิ่งที่ควรรู้ ก็มีพวกฤดูกาล (อยากไปเจอซากุระแถบคันไซ-คันโต จะต้องไปประมาณเดือนเมษายน) วันหยุดประจำปี เทศกาลต่างๆ รวมถึงพวก วัน-เวลาเปิด-ปิด หรือวัน-เวลาที่ควรไป ของสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ เช่น สถานที่ท่องเที่ยวบางแห่งอาจหยุดวันอังคารหรือวันอาทิตย์ หรือบางที่อาจจะควรไปตอนเช้า ถึงจะถ่ายรูปสวย ไม่ย้อนแสง อะไรแบบนี้ค่ะ

ดราฟแรกๆ เรามักจะเขียนลงกระดาษค่ะ พอค่อนข้างแน่นอนค่อยไปลงรายละเอียดในคอมอีกที
ซึ่งเวลาลงคอม เราจะใช้โปรแกรม Numbers (Macbook) ซึ่งจะคล้ายๆ กับ MS Excel ค่ะ แต่ดีกว่าตรงที่ใส่รูป กรอบข้อความ และโน่นนี่นั่นได้เยอะกว่า แล้วก็สวยกว่าค่ะ ใครใช้ Mac แนะนำให้ใช้โปรแกรมนี้ค่ะ
สำหรับคนที่ใช้ Windows อาจจะใช้ MS Word หรื Excel ก็ได้ตามถนัดเลยค่ะ 

กรณีถ้ามีเพื่อนร่วมทริปหลายคน อยากให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการหาข้อมูล ขอแนะนำให้ใช้แบบออนไลน์ค่ะ
ส่วนตัวเราเอง เราจะใช้ Google drive ค่ะ ทำไฟล์ลงใน Google drive แล้วแชร์ไปให้เพื่อนร่วมทริป เพื่อให้ทุกคนสามารถดูได้และช่วยหาข้อมูลและแก้ไขไฟล์ได้ในทันที
ถ้ามีโอกาสจะมารีวิวอย่างละเอียดในการใช้ต่อไปค่ะ แต่จริงๆ มันใช้ไม่ยากค่ะ ใครมีบัญชี Gmail อยู่แล้วก็สามารถใช้ได้เลย




การเดินทาง
การเดินทางยอดนิยมในญี่ปุ่น คงหนีไม่พ้น “รถไฟ” ค่ะ มีทั้งบนดิน ใต้ดิน ของบริษัทโน่น นี่ นั่น เยอะแยะมาก ตอนแรกอาจจะงงๆ หน่อยค่ะ แต่อ่านๆ ไปจะเริ่มเก็ทเองค่ะ (รู้สึกว่าไม่ได้ช่วยอะไรเลย 555+)

เว็บหลักในการเดินทางโดยรถไฟ >> Hyperdia
<< {ติวเตอร์ตู่แบ่งปัน} การใช้ hyperdia อย่างเข้าใจง่ายๆ เพื่อทำแผนเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเอง ทั้งเส้นทางรถไฟบนดิน และ ใต้ดิน >>

กรณีถ้าเมืองไหนใช้รถบัสเป็นหลัก (เช่น เกียวโต) ให้ใช้ Google maps ค่ะ เพราะ Hyperdia จะใช้ได้แค่รถไฟ แต่ Google maps สามารถใช้ได้ทั้งรถไฟและรถบัสด้วย บอกได้กระทั่งป้ายของรถบัสว่าต้องลงป้ายไหน (แต่เป็นภาษาญี่ปุ่นนะคะ ดูตัวอีกษรเอาล่ะกัน)

Pass / IC card
ในญี่ปุ่นมี Pass ต่างๆเยอะมากกกกกก ทั้ง pass ที่ใช้ทั่วประเทศ แล้วก็ที่ใช้เฉพาะในแต่ละภูมิภาค จึงขอยกไปโอกาสหน้า
แต่ขอให้ระลึกไว้อย่างหนึ่งว่า การใช้ Pass ไม่ได้ถูกกว่าการซื้อตั๋วเป็นครั้งๆ ไปเสมอไป มันแล้วแต่แพลนของเราค่ะ

ส่วน IC Card เรามักเจอกันในรูป Suica, Pasmo หรือ Icoca 

เหล่านี้ ไม่ใช่บัตรที่ใช้ลดราคานะคะ แต่เป็นบัตรเติมเงินที่เพิ่มความสะดวกให้เราเวลาใช้งานรถไฟ ทำให้เราไม่ต้องไปกดบัตรเป็นเที่ยวๆ ไปค่ะ ถ้าเทียบกับเมืองไทย มันก็คือ Rabbit ของ BTS นั่นเองค่ะ
IC Card เหล่านี้ ปัจจุบัน สามารถใช้ได้ทั่วประเทศ แต่จะคืนได้เฉพาะภูมิภาคที่ซื้อเท่านั้น
เช่น Suica, Pasmo เราซื้อที่โตเกียว (คันโต) ถ้าจะคืนก็ต้องคืนที่คันโตค่ะ จะไปคืนที่โอซาก้า (คันไซ) ไม่ได้

การเดินทางข้ามภูมิภาค
นอกจากรถไฟแล้ว การเดินทางข้ามภูมิภาคหรือข้ามเมืองยังมีอีกหลายวิธีค่ะ เช่น
> รถบัส ซึ่งเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับคนงบน้อย ยิ่งพวก night bus นี่ นอกจากจะราคาถูกกว่าการเดินทางโดยรถไฟแล้ว ยังอาจประหยัดค่าโรงแรมไปได้อีกคืนหนึ่งด้วย
> เครื่องบิน มีหลายสายการบิน แถมมีโปรโมชั่นบ่อยๆ ถ้าตามเรื่อยๆ อาจได้ตั๋วข้ามเมืองในราคาถูกอย่างไม่น่าเชื่อ

คำถามที่มักพบบ่อย
ไป.....ซื้อ JR Pass ดีมั้ยคะ?
ตัว JR Pass ในที่นี้คือ JR Pass แบบทั่วประเทศ ซึ่งจะมีแบบ 7 วัน กับ 14 วัน
ตอบง่ายๆ เลยนะคะ ขึ้นอยู่กับแผนการเดินทางค่ะ 
แต่ถ้าเที่ยวต้องใช้นั่งไป-กลับ โตเกียว-โอซาก้า โอซาก้า-โตเกียว เอาเท่านี้ก็คุ้มแล้วค่ะ แนะนำว่าซื้อเลย แต่ถ้าใช้แค่ขาเดียว ต้องลองคำนวณการเดินทางส่วนอื่นๆดูด้วย และลองเทียบกับ Pass แบบอื่นๆดูค่ะ 
เพราะในแต่ละภูมิภาคกับมักจะมี pass เป็นของตัวเอง ทั้งของฝั่ง JR แล้วก็ฝั่งของที่เป็นรถเอกชนอื่นๆ
โดยเฉพาะฝั่งคันไซนี่ การใช้ pass ของ JR บางครั้งก็สะดวกสู้ของรถไฟเอกชนอย่างตัว Osaka Amazing Pass หรือ Kansai Thru Pass ไม่ได้นะคะ




ที่พัก
มีเยอะแยะ มากมาย หลายหลากมากค่ะ
หาได้ทั่วๆไป ทั้งจาก booking, agoda, airasiago, hostel world ฯลฯ

ที่พักที่ญี่ปุ่นมีทั้งแบบเรียวกังและโรงแรมทั่วไป ซึ่งก็เป็นไปตามงบของเราเลยค่ะ ว่าเรามีงบมากน้อยแค่ไหน

ถ้างบน้อย ลองมองดู Hostel กับ Business Hotel ค่ะ พวกนี้จะราคาไม่สูงมาก
Business Hotel เครือหนึ่งที่คนไทยนิยมมาก คือ โรงแรม << Toyoko Inn >>
<< ติวเตอร์ตู่ชวนพัก..ทำไมใครๆ ก็พักโรงแรม Toyoko Inn ที่ญี่ปุ่น >>
(แต่จริงๆ มันมีอีกหลายโรงแรม หลายเครือ หลายแห่งเลยนะคะ ไม่จำเป็นว่าต้องไปพัก Toyoko Inn เสมอไป)

โรงแรมที่ญี่ปุ่นส่วนใหญ่มักเปิดให้จองได้ล่วงหน้า 3-6 เดือนก่อนวันเข้าพัก ยกเว้นแต่บางโรงแรมใน web agent ที่ยกตัวอย่างไป อาจจะเปิดให้จองก่อน 6 เดือนก็มีค่ะ

ยิ่งช่วง high season นี่ โอ้โห ที่พักเต็มเร็วมาก แนะนำให้จองก่อนค่ะ 
ถ้าก่อน 6 เดือนเข้าไปหาโรงแรมแล้วมันขึ้นว่าเต็ม อย่าเพิ่งตกใจค่ะ เป็นไปได้ว่า ทางโรงแรมยังไม่ได้เปิดให้จอง รอให้เป็น 6-3 เดือนล่วงหน้าก่อนแล้วค่อยเข้าไปดูใหม่

**เพิ่มเติม ขอเล่าประสบการณ์
ตอนไป backpack ญี่ปุ่นครั้งแรก ตอนพฤษภาคม 2014 ไปกะทันหันมากกกก แต่เนื่องจากปีนั้น มันยังไม่มีสายการบิน low cost บินไปญี่ปุ่น แล้วช่วงที่เราไปก็ไม่ได้ตรงกับช่วงหยุดยาวของญี่ปุ่น แม้จะไปกะทันหัน แต่การจองโรงแรมก็ยังไม่ได้ลำบากมากนัก ยังสามารถหาโรงแรมที่มีห้องน้ำในตัวในราคาที่รับได้แบบสบายๆ 

แต่ แต่ แต่
สถานการณ์เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ในปี 2015
เราจองโปรฯ เปิดตัวของสายการบิน Thai AirAsia X ไป-กลับ Kansai ตอนกลางๆปี 2014 และบินตอนวันที่ 1-9 เมษายน 2015
แน่นอนว่าช่วงนั้นเป็น high season ของญี่ปุ่น ซากุระมาแน่ นักท่องเที่ยวเยอะชัวร์
เมื่อจองตั๋วเครื่องบินข้ามปี เราก็พยายามจะจองที่พักข้ามปีด้วยเหมือนกัน 
แรกเริ่มเลย พยายามจะจองที่พัก แต่คงเริ่มจองเร็วไป โรงแรมส่วนใหญ่เลยยังไม่เปิดให้จอง เราก็เลยรอก่อน
มากระตือรืนร้นจองที่พักอีกทีช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน 2014 
โหยยยยยย ไม่นึกไม่ฝันค่ะ อาจจะเพราะเราไปกัน 3 คนด้วยก็เลยหาห้องค่อนข้างยาก โรงแรมที่มีห้อง 3 คนและห้องน้ำในตัว และราคารับได้ เต็มเกือบทั้งหมดเลย (ตกใจมากจริงๆ) 
ตอนแรกเรานึกว่ายังไม่เปิดจองเลยรอ แต่พอเราส่งเมลล์ไปถาม คือ เต็มแล้วทั้งนั้นเลย งงมาก ไปจองกันตอนไหน ยังดีที่มีบางแห่งบอกว่ายังไม่รับจอง ให้จอง 6 เดือนก่อนเข้าพัก คือ ให้จองประมาณเดือนพฤศจิกายน 
เราก็โอเคค่ะ เดี๋ยวพฤศจิกาเจอกันใหม่
คืนวันที่ 31 ตุลาคม เราก็สแตนบายเตรียมจองค่ะ (ตอนนั้นนึกในใจว่าสบายๆ เพราะคงไม่มีใครบ้าเหมือนเราอีกแล้ว ....แกคิดผิดมาก บอกเลย)
พอห้องขึ้น เราก็มัวแต่ถกกับเพื่อนๆว่าจะเอา type แบบไหนดี พอตกลงกันได้ จะกดจอง ห้องหายไปต่อหน้าต่อตาเลยค่ะ
ช็อคมาก!!!
ทำให้รู้ว่าไม่ได้มีแต่เราที่จ้องจะจองอยู่ซินะ (- -" )
สุดท้ายไม่ได้ที่พักที่เกียวโตตามวันที่อยากได้ค่ะ ตอนแรกเราตั้งใจว่าไปถึงสนามบินปุ๊บ ไปพักที่เกียวโตก่อน แล้ววันหลังๆค่อยมาพักที่โอซาก้า แต่พอจองที่พักที่เกียวโตไม่ได้วันที่ต้องการ เลยต้องโยกโปรแกรมกันใหม่ค่ะ

ป.ล. จริงๆแล้ว การไปเที่ยวคันไซ สามารถเบสที่โอซาก้าแห่งเดียวก็ได้นะคะ แล้วค่อยไป-กลับเมืองอื่นๆเอา
แต่ส่วนตัว เราชอบเกียวโตมาก เลยไปพักที่เกียวโตหลายวันหน่อยค่ะ





ร้านอาหาร
โดยส่วนตัว เราเป็นคนไม่ค่อยอะไรกับเรื่องอาหารมากค่ะ เจออะไรก็ทาน เลยไม่ค่อยมีลายแทงร้านอาหารค่ะ
ส่วนใหญ่ เราจะอ่านตามกระทู้รีวิวใน Pantip โดยเฉพาะของ << คุณ Skybox >> ซึ่งทำไว้หลายเมืองเลยค่ะ




ค่าใช้จ่าย
เป็นคำถามยอดฮิตว่าจะคำนวณค่าใช้จ่ายในทริปยังไง จะต้องแลกเงินเท่าไหร่ เราเลยมีวิธีคำนวณคร่าวๆ มาแบ่งปันค่ะ แต่ที่สำคัญคือ เราต้องวางแผนให้ได้ก่อนนะคะว่าจะไปที่ไหน ยังไงบ้าง
> ค่าตั๋วเครื่อบินไป-กลับ - ตามโปรฯ ตั๋วเครื่องบินที่ได้
> ค่าที่พัก/โรงแรม - 1500 บาทต่อคนต่อคืน
> ค่าอาหาร - 1000 บาทต่อคนต่อวัน
> ค่า Pass และการเดินทางในประเทศ - ถ้าเราทำแพลนเรียบร้อย ตรงนี้เราจะคำนวณได้ค่ะ
> ค่าเข้าสถานที่ - ถ้าเราทำแพลนเรียบร้อย ตรงนี้เราจะคำนวณได้ค่ะ
> ค่า pocket wifi (ถ้ามี)




Shopping
ในแต่ละเมืองในญี่ปุ่นจะมี ของดีประจำถิ่น อันนี้พยายามอย่าพลาดนะคะ อุตส่าห์ไปถึงที่แล้วต้องลอง โดยเฉพาะพวกขนมหรือผลไม้ตามฤดูกาล
สำหรับเรา ถ้าพูดถึงเรื่อง shopping จะเสียเงินกับขนม เครื่องสำอาง และ ของร้าน 100 เยน ประมาณนี้แหละค่ะ

Tax Refund
Tax refund หรือ จริงๆ ถ้าจะพูดให้ถูก สำหรับประเทศญี่ปุ่น คือ Tax free (สำหรับบางร้าน เพราะเค้าจะยกเว้นภาษีให้เราเลย ไม่ใช่การไปขอคืนภาษีค่ะ)

ในอดีต จะขอยกเว้นภาษีได้ในกรณีที่ซื้อสินค้าราคา 10,000 เยนขึ้นไป และสินค้านั้นจะต้องไม่ใช่สินค้าใช้แล้วหมดไป กล่าวคือ พวก ขนม เครื่องสำอาง ขอยกเว้นไม่ได้
แต่นับแต่ 1 ตุลาคม 2557 เป็นต้นมา ญี่ปุ่นได้ขยายขอบเขตของการยกเว้นภาษีออกไปครอบคลุมถึงเครื่องสำอางและขนมด้วย (มีเงื่อนไขตามที่กฎหมายกำหนด)
website หลัก << http://tax-freeshop.jnto.go.jp/eng/index.php >>

***ล่าสุดยิ่งกว่า หลัง 1 พฤษภาคม 2559 ญี่ปุ่นได้ปรับลดการขอยกเว้นภาษีสินค้าทุกกรณีเป็นเท่ากันที่ 5,000 เยนขึ้นไป พูดง่ายๆคือ ต่อไปนี้ พวกเสื้อผ้า กระเป๋า กันพลา จากเดิมที่ต้องซื้อ 10,001 เยนขึ้นไปถึงสามารถขอยกเว้นภาษีได้ ตอนนี้ซื้อเพียง 5,001 เยนก็สามารถขอยกเว้นภาษีได้แล้วค่ะ  


cr: http://tax-freeshop.jnto.go.jp/eng/index.php

สำหรับร้านที่เข้าร่วมรายการยกเว้นภาษี สามารถสังเกตได้จากสัญลักษณ์ TAX Free ได้เลยนะคะ 
(ไม่ใช่ว่าจะขอ Tax free ได้ทุกร้านนะคะ เฉพาะร้านที่มีสัญลักษณ์ Tax free เท่านั้นค่ะ แต่โดยส่วนใหญ่ ร้านที่คนไทยนิยมไปมักจะให้ Tax free อยู่แล้ว เช่น พวกร้านขายยาสาขาใหญ่ ดองกี้ ห้าง Yodobashi)

พวกเครื่องสำอาง เวลาที่เราทำ Tax free เสร็จ เค้าจะแพ็คไว้ในถุงปิดซีล แล้วบอกว่าไม่ให้เราแกะในขณะที่อยู่ในญี่ปุ่น 
ตรงนี้ มีหลายคนถามว่าถ้าจะเอามาจัดของตอนแพ็คกระเป๋าใหม่ มันแกะได้มั้ย?
โดยหลักคือ ไม่ได้ค่ะ
แต่ในทางปฏิบัติ หลายคนทำกัน แล้วยังไม่เคยเห็นว่าใครโดนตรวจ (ถ้าโดนตรวจขึ้นมา ก็ต้องยอมเสียภาษีส่วนที่ได้ Tax free มาคืนไปค่ะ)

ถ้าอธิบายตามที่เราเข้าใจก็คือ การยกเว้นภาษีหรือ Tax free 
ภาษีที่เค้ายกเว้นให้คือ ภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT ค่ะ
ซึ่งโดยหลัก การเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม เราจะเก็บจากสินค้าหรือบริการภายในประเทศ 
ที่ต่างประเทศยกเว้นภาษีตัวนี้ให้กับผู้ที่เดินทางออกนอกประเทศก็เพราะเค้ามองว่าสินค้าพวกนี้ไม่ได้ถูกใช้ในประเทศเค้าค่ะ ดังนั้น เค้าเลยต้องซีลเพื่อไม่ให้เราเปิดใช้ (ถ้าเราเปิดใช้ ก็เท่ากับว่าเราได้ใช้สินค้านั้นในประเทศเค้าแล้ว ก็เลยต้องเก็บ VAT หลักง่ายๆ ประมาณนี้ค่ะ)





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น