23 พฤศจิกายน 2558

Kansai Sakura Trip 2015

ทริปญี่ปุ่นในปี 2015 นี้เป็นทริปตามล่าซากุระที่ Kansai ค่ะ 

แรกเริ่มเลย ทริปนี้เกิดขึ้นมาจากที่ประเทศไทยได้เริ่มมีสายการบินต้นทุนต่ำ (low cost) บินตรงไปญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก คือ สายการบิน Thai AirAsia X (TAAX) 



หลังจากกลับมาจากญี่ปุ่นตอนพฤษภาคม 2014 ไม่นาน TAAX ก็มีโปรโมทชั่นเปิดเส้นทางบินไปญี่ปุ่นในราคาที่น่าสนใจมาก งานนี้เรากับเพื่อนสาวอีก 2 คนเลยตกลงจะไปเที่ยวญี่ปุ่นกันอีกครั้ง โดยวางแผนจะไปช่วงต้นเดือนเมษายน

TAAX มีปลายทางที่ญี่ปุ่น 2 แห่ง คือ โตเกียว (นาริตะ) และโอซาก้า
จริงๆ รูทการบินตอนนั้นที่แนะนำกับคือไปโตเกียวและกลับโอซาก้า เพราะเวลาไป-กลับจะสวยมาก
แต่เนื่องจากเรามีเวลาแค่ 7-8 วัน เลยตกลงไป-กลับสนามบินโอซาก้า และเที่ยวที่คันไซอย่างเดียว

*** เรายังคงยืนยันคำเดิมนะคะ แนะนำว่าถ้ามีเวลาเที่ยวประมาณ 7-8 วัน (หมายถึงวันที่เที่ยวจริงๆนะไม่รวมเดินทาง) ไปภูมิภาคเดียวเถอะค่ะ อย่าข้ามภูมิภาคเลย นอกจากเหนื่อยแล้ว ค่าใช้จ่ายยังเพิ่มขึ้นอีกเยอะด้วย 

สรุปข้อมูลทริปคร่าวๆ

สมาชิกร่วมทริป : เราและเพื่อนสาวอีก 2 คน (รวมเป็น 3 คนถ้วน ^^)
วันที่เดินทาง : วันที่ 1-9 เม.ย. 2558 
สถานที่ : Kansai, Japan
โดยสายการบินไทยแอร์เอเชียเอ๊กซ์ TAAX (BKK - KIX (Osaka) - BKK)
ค่าใช้จ่าย : 28,000 บาทต่อคน (ไม่รวม shopping)
แยกรายละเอียดได้ ดังนี้
> แอร์เอเชีย 9075 บาท 
          - ค่าตั๋วเครื่องบิน 7150 บาท  
          - ค่าน้ำหนักกระเป๋า 1775 บาท (เราหารแบ่งกับเพื่อน ขาไป 20 kg และขากลับ 30 kg)
          - อาหารขาไป 150 บาท (ขากลับตั้งใจนอนค่ะ เลยไม่ได้สั่งอาหาร)
          - ค่าเลือกที่นั่ง 0 บาท เพราะมันมีโปรฯหลุดออกมาช่วงนึง ทำให้เลือกที่นั่งแบบปกติได้ฟรีค่ะ ..แต่ต่อให้ไม่มีโปรหลุดก็คงไม่ซื้ออยู่ดีค่ะ เพื่อความประหยัด 555+
> Pocket wifi ตกคนละ 373 บาท
> ประกันภัยการเดินทาง 280 บาท
> ค่าที่พัก 6 คืน 6134 บาท
> ค่าพาสและการเดินทางต่างๆ 2815 บาท
> ค่าตั๋ว USJ 2000 บาท
> ค่า Express pass 5 USJ 1727 บาท
> ค่าเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆรวม 1008 บาท
> ที่เหลืออีกประมาณ 4500 เป็นค่าอาหารตลอดทริปค่ะ 
(อัตราเงินเยนตอนที่แลกคือ 100 เยน = 27.60 บาท)

รายละเอียดเที่ยวบินที่เราจอง




คราวนี้มาถึงเรื่องการวางแผนเที่ยวและเรื่องอื่นๆ


จากเวลาบิน จะเห็นว่าเรามีเวลาเที่ยวจริงๆ คือ 7 วันเต็ม ตั้งแต่วันที่ 2-8 เมษายน 2558
พอได้วันมา เราก็มาวางแผนการคร่าวๆ เพื่อที่จะจองที่พัก

แผนแรก เราวางไว้คร่าวๆแบบนี้ค่ะ 

Plan ASleep atby
day 0Wed4/1/2015BKK - KIXKIX-
day 1Thur4/2/2015KIX - KyotoKyotoIcoca&HarukaBus pass
day 2Fri4/3/2015KyotoKyotoBus pass
day 3Sat4/4/2015Kyoto - OsakaOsakaKTP 1
day 4Sun4/5/2015OsakaOsakaSubway pass
day 5Mon4/6/2015Himeji - KobeOsakaKTP 2
day 6Tue4/7/2015USJOsaka-
day 7Wed4/8/2015Osaka - Nara - KIXTAAXKTP 3
day 8Thur4/9/2015KIX - BKK

หลักๆคือพยายามเลี่ยงเกียวโต กับ USJ ในวันเสาร์-อาทิตย์
จริงๆ Nara ไปตอน day 3 ก็ได้นะคะ เพราะมันอยู่กึ่งกลางระหว่าง Kyoto - Osaka แต่ที่แพลนแรกจัดไว้วันสุดท้าย เพราะเห็นว่า day 3 มันจะต้องย้ายกระเป๋าเดินทางด้วย เลยอาจจะไม่สะดวก
ถ้าใครขี้เกียจคิด ลอกแพลนนี้ได้เลยนะคะ เป็นคอร์สพื้นฐานของการเที่ยวคันไซเลย 

แต่ท้ายที่สุด เนื่องจากเราจองที่พักที่เกียวโตในวันที่อยากได้ไม่ได้ เลยต้องมีการเปลี่ยนแพลนใหม่ค่ะ ซึ่งทำไว้ 2-3 แบบ แต่สุดท้ายมาลงที่แบบนี้ บางวัน เช่น day 3, 5 คือยังไม่ได้สรุปว่าจะเดินทางโดยใช้พาสอะไรรึเปล่าค่ะ เพราะยังไม่ได้ลงรายละเอียดว่าจะไปไหนบ้าง แค่เขียนไอเดียไว้คร่าวๆ 
ส่วนวันสุดท้าย เน้นสบาย เพราะต้องหอบสัมภาระทั้งหมดจากเกียวโตไปที่สนามบิน เลยตั้งใจนั่ง Haruka ค่ะ เพราะฉะนั้นดูแล้วใช้ 1-day Kansai Area Pass คุ้มค่ะ (นั่ง Haruka จากเกียวโตก็คุ้มค่าพาสแล้วค่ะ) 

Plan ASleep atby
day 0Wed4/1/2015BKK - KIXKIX-
day 1Thur4/2/2015Himeji - KobeOsakaKTP 1
day 2Fri4/3/2015USJOsaka-
day 3Sat4/4/2015OsakaOsaka
(Subway pass)
day 4Sun4/5/2015Osaka-Nara-KyotoKyotoKTP 2
day 5Mon4/6/2015KyotoKyoto
(KTP 3)
day 6Tue4/7/2015KyotoKyotoBus pass
day 7Wed4/8/2015Kyoto - KIXTAAXJR Kansai Area Pass
day 8Thur4/9/2015KIX - BKK

ส่วนแผนว่าจะไปไหนในแต่ละวัน เนื่องจากเราเป็นสายชิล (มาก) เลยวางไว้แค่คร่าวๆ พร้อมจะเปลี่ยนแผนตลอดเวลา โดยเฉพาะที่เกียวโตค่ะ คิดไว้หลายแบบมากๆ สุดท้ายก็ต้องดูเอาหน้างาน แต่เดี๋ยวจะพูดถึงอีกครั้งค่ะ

รายละเอียดเรื่องการเตรียมตัวต่างๆ เรามีอัพเดทบางส่วนไว้ใน 
<< ไปญี่ปุ่นเตรียมตัวยังไงดี >>
<< ไปญี่ปุ่นเตรียมตัวยังไงดี (ต่อ) >>
เรื่องอื่นๆ เช่น ตั๋ว USJ กับ Express pass จะไปพูดถึงใน blog ที่เกี่ยวกับเรื่องนั้นเลยนะคะ กลับมาหลายเดือนแล้วต้องค่อยๆดึงความทรงจำตัวเองกลับมา

∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇

Kansai Sakura Trip 2015
Day 0-1 : ประสบการณ์นอนที่สนามบินคันไซกับครั้งแรกที่ Himeji
Day 2: Universal Studio Japan (USJ) กับบัตรเบ่ง Express Pass 5
Day 3: ตามล่าซากุระที่ Osaka แล้วไปช็อปปิ้งซอยละลายทรัพย์ Tenjinbashisuji
Day 4-7: ชมซากุระสุดฟินที่ Kyoto

∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇

04 มีนาคม 2558

ว่าด้วยเรื่อง NAMBA Station

ด่านแรกของการไปโอซาก้าที่ทำให้งงงวยมากก็คือสถานี Namba นี่แหละ 

ย่าน Namba เป็นย่านที่ทุกคนที่ไปโอซาก้าต้องไปสัมผัส
เพราะเป็นย่านช็อปปิ้งและของกินสำคัญแห่งหนึ่งของโอซาก้าซึ่งก็คือ Shinsaibashi กับ Dotonbori แล้วก็ยังเป็นที่ตั้งของ Landmark สำคัญคือ Glico Running Man
และเป็นศูนย์รวมของสารพัดรถไฟ เป็นศูนย์กลางการขนส่งสาธารณะของโอซาก้าตอนล่าง

ไม่เชื่อลองมาดูภาพ Namba station จาก Google map กัน (คลิกที่ภาพ ภาพจะใหญ่ขึ้นอีกนิดนึงค่ะ)


งงมั้ยคะ ทำไมสถานี Namba มันเยอะเเยะขนาดนี้

ก่อนอื่น เราต้องเข้าใจรถไฟของญี่ปุ่นอย่างคร่าวๆก่อน

รถไฟของญี่ปุ่น มันมีทั้งที่เป็นรถไฟที่ดำเนินการโดย JR และบริษัทเอกชนอื่นๆ และทั้งที่เป็นรถไฟใต้ดินและบนดิน รถไฟของญี่ปุ่นก็เลยมีหลายสายมาก

Namba เป็นบริเวณที่เป็นจุดเชื่อมต่อของรถไฟเหล่านั้น 
ลองคิดถึงสถานี BTS - อโศก กับ MRT สุขุมวิท, BTS พญาไท กับ Airport link, สถานี BTS ศาลาแดง - MRT สีลม
มันเป็นประมาณนั้นแหละค่ะ แต่มันมีเยอะสายมากกว่า กินพื้นที่กว้างกว่า (เวลาเชื่อมต่อแต่ละสถานีเลยอาจทำให้ต้องเดินเยอะไปด้วย)

เราขอแบ่งสถานีรถไฟในบริเวณนี้เป็น 4 กลุ่มตามชื่อของสถานี (ชื่อเราขอเขียนตาม Hyperdia เลยนะคะ เวลาไป search จาก hyperdia จะได้หาได้ง่าย)

1. JR-Namba
ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็น JR 
ตามแผนที่ด้านบน สถานี JR Namba จะอยู่ซ้ายมือสุดของภาพ

2. Namba (subway)
Namba station คือ subway ของโอซาก้าค่ะ
บริเวณนี้จะมี subway ผ่านอยู่ 3 สาย คือ 
  • Midosuji line สายสีแดง
  • Sennichimae สายสีชมพู
  • Yotsubashi สายสีน้ำเงิน
แม้ว่าจะเป็น subway เหมือนกัน แต่ตัวสถานีของทั้งสามสายนี้จะไม่ได้อยู่ที่เดียวกันซะทีเดียว (ไม่ใช่ BTS สยาม ที่แค่เปลี่ยนฝั่งก็เปลี่ยนสายจากสายสุขุมวิทเป็นสายสีลมได้ อันนี้เดินกันจนเมื่อยกว่าจะได้เปลี่ยนสาย)
แต่ถึงอย่างนั้นทั้งหมดก็มีทางเดินที่สามารถเชื่อมต่อกันได้ค่ะ

3. Osaka-Namba 
Osaka Namba เป็นสถานีของรถไฟสาย Hanshin และ Kintetsu
จากสถานี Osaka Namba รถวิ่งไปทางซ้าย (ตะวันตก) จะเรียกว่าสาย Hanshin (ไป Kobe-Himeji)
ถ้าวิ่งไปทางขวา (ตะวันออก) จะเรียกว่าสาย Kintetsu (ไป Nara)

4. Namba (Nankai) 
สาย Nankai คือรถไฟอีกสายหนึ่งที่วิ่งออกมาจากสนามบิน Kansai International Airport
(จาก KIX เข้าเมืองโอซาก้าจะสามารถนั่งรถไฟได้ 2 สาย สายหนึ่งคือ JR อีกสายหนึ่งคือ Nankai - - - ที่ KIX สถานีรถไฟของ JR กับ Nankai จะอยู่ติดกันเลย ไม่มีหลงแน่นอน)

พูดแล้วอาจจะยังไม่เห็นภาพ

คราวนี้มาลองดูภาพอย่างง่ายจาก Japan Guide กัน 
(แนะนำเลย สำหรับนักท่องเที่ยวมือใหม่ทุกท่าน www.japan-guide.com มีทุกอย่างจริงๆนะ)



ชัดยังคะ?
น่าจะชัดแล้วเนอะ

ตัวสถานีของรถไฟแต่ละสายจะแยกกัน แต่สามารถเดินเชื่อมต่อกันได้ (ลองดู 
ภาพ Google map ด้านบนค่ะ บริเวณสีแดงๆทั้งหมดคือทางเดินที่เชื่อมต่อกัน)

วิธีการเดิน ง่ายมาก จะไปไหนให้หัดสังเกตป้ายบอกทาง
ป้ายบอกทางในสถานีมีอยู่เยอะมาก ถ้ารู้จักสังเกตไม่มีทางหลง
ถ้าหาไม่เจอจริงๆ ถามนายสถานีได้เลยค่ะ ไม่ยากๆ

30 มกราคม 2558

mini Review: Nihonbashi Villa Tokyo

Nihonbashi Villa Tokyo

website >> http://www.hotelvilla.jp/e/guide.html




ตามที่ได้บอกไปแล้วในบล็อกก่อนๆ เราไปญี่ปุ่นทริปนี้แบบกะทันหัน จองโรงแรมไม่ได้ครบทุกวันที่พัก
ที่นี่เป็นโรงแรมที่เราจองตอนอยู่ที่ญี่ปุ่นแล้ว แบบว่าจองวันนี้ พรุ่งนี้เข้าพักเลย

ที่เราเลือกที่นี่มีเหตุผลอยู่ 3-4 ข้อ คือ ราคาอยู่ในงบ โรงแรมตั้งอยู่ไม่ไกลจาก Toyoko inn Tokyo Akiba Asakusabashi-eki Higashi-guchi โรงแรมเดิมที่เราพัก ทำให้เดินไปได้ ไม่ต้องแบกกระเป๋าเดินทางใบใหญ่เข้าที่สถานีรถไฟอีก แล้วก็ดูจากรูปและรีวิวในเว็บ booking.com กับ agoda แล้วพบว่าอยู่ในเกณฑ์ดี


Note สิ่งที่โง่มากคือเราเพิ่งมาพบที่หลังว่าโรงแรมอยู่ใกล้สถานี JR Bakurocho มากกว่า Asakusabashi แต่เรากับเพื่อนเดินไปขึ้นรถไฟที่สถานี Asakusabashi กันทุกวันเลย (- -")

โรงแรม Nihonbashi villa สภาพค่อนข้างใหม่ ทั้งสภาพภายนอก Lobby และในห้องพัก
ห้องพักจะกว้างกว่าที่ Toyoko inn ค่ะ ห้องที่เราได้เป็นห้องมุมพอดี 
กระจกบานใหญ่สะใจมากกกก เหมาะแก่การแต่งหน้าอย่างยิ่ง 5555+
ชุดนอนจะวางไว้ให้ในห้องเลย ไม่ต้องเดินไปหยิบเองแบบที่ Toyoko inn นะคะ ;-)

ตอนที่จอง เราจองผ่านมือถือและหาไม่เจอว่ามีให้เลือก smoking room หรือ non-smoking room ตรงไหน แต่เราเขียน require ไปว่าขอ non-smoking room ซึ่งก็ได้ห้องที่ไม่มีกลิ่นบุหรี่เลย




28 มกราคม 2558

mini Review: K's house Mt. Fuji

K's House Mt. Fuji 
website >> http://www.kshouse.jp/fuji-e/facilities/index.html

K's House เป็น Hostel เครือดังเครือนึงในญี่ปุ่นเลย เป็นที่นิยมทั้งของคนไทยและต่างชาติมาก
มีสาขาอยู่หลายแห่งทั่วประเทศญี่ปุ่น
สำหรับสาขาที่จะพูดถึงนี้ คือ สาขาที่ Kawaguchiko หรือที่ใช้ชื่อว่า K's House Mt. Fuji 

K's House Mt. Fuji ตั้งอยู่ค่อนข้างไกลจาก Kawaguchiko station 
ดังนั้น การเดินทางที่แนะนำเพื่อเข้ามาที่นี่ คือ รถบัส
แต่ถ้าถามว่าเดินได้มั้ย? 
ตอบเลยว่า สามารถเดินได้แบบเหนื่อยๆค่ะ (เราเดินไป-กลับมาแล้ว เดินดูเมืองไปเรื่อยๆแบบชิลๆ)

หรืออีกทางหนึ่ง คือ ที่ K's House มีบริการรถรับ - ส่ง ไปที่ Kawaguchiko station (free pick up service) ทุกวัน ระหว่างเวลา 8.00 - 19.30 น.
โดยขาจาก Kawaguchiko station - K's House จะต้องมีการนัดล่วงหน้าให้เค้ามารับ
ส่วนขาจาก K's House - Kawaguchiko station จะต้องไปลงชื่อที่เค้าเตอร์ด้วย เพราะรถรับคนได้จำกัดค่ะ

เราสอบถามจากพนักงานได้ความว่า บริการนี้ คือ ให้แค่ 2 ครั้งต่อแขก 1 คนเท่านั้น (คือ ขาไปกับขากลับ) ไม่ใช่ว่าจะออกจากโรงแรมไป  Kawaguchiko station ทุกครั้งก็ใช้บริการรถนี้ได้
แต่คิดว่าถ้าช่วงไหนรถว่าง คนไม่เยอะ เค้าก็คงไม่ได้สติ๊กอะไรมากนะคะ 



แม้ว่าที่ตั้งจะไกลจาก Kawaguchiko station พอสมควร 
แต่ข้อดีคือ ใกล้ทะเลสาบมากค่ะ สามารถเดินไปได้ แถมยังราคาย่อมเยาว์ เหมาะกับคนงบน้อย (อย่างเรา)

ในเรื่องของการฝากกระเป๋า ถ้าเรามาก่อนเวลา check-in สามารถฝากกระเป๋าไว้ก่อนได้ โดยเค้าจะมีห้องเก็บสัมภาระห้องนึงแยกต่างหากเลย ซึ่งเรามองว่าดีนะคะ ดูปลอดภัยดี

ห้องที่เราพักเป็นห้องแบบ Japanese private ensuite room (มีห้องน้ำในตัว) สำหรับ 2 คน
เข้าไปตอนแรกจะเป็นห้องแบบญี่ปุ่นทั่วไป
ฟูกและที่นอนจะอยู่ในตู้ตรงทางเข้า พอจะนอนก็เอามาปู
อันนี้เป็นรูปก่อนและหลังปูที่นอนแล้ว


ส่วนห้องน้ำที่อยู่ในห้องพัก สภาพโอเค ขนาดก็เล็กแบบโรงแรม 2-3 ดาวในญี่ปุ่นทั่วไปค่ะ


เราแอบไปดูห้องน้ำที่เป็น shared bathroom มาด้วย สะอาดมากๆเลยค่ะ (ไม่ได้ถ่ายรูปมา)

สิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆใน K's House ก็ครบครันมาก
ส่วนกลาง มีทั้งครัว สามารถทำอาหารได้ มีไมโครเวฟสำหรับอุ่นอาหาร กระติกน้ำร้อน 
ห้องนั่งเล่นมีทั้งแบบโต๊ะธรรดาแล้วก็นั่งพื้นแบบญี่ปุ่น พอหัวค่ำเหล่าบรรดา backpacker ทั้งหลายจะมานั่งรวมกันอยู่ นั่งคุยเล่นกันอยู่ตรงนี้แหละ

จักรยานก็มีให้เช่า เราจำราคาต่อชั่วโมงไม่ได้ แต่ถ้าใช้หลายชั่วโมงก็เหมาเป็นวันไปเลยได้ ไม่แพงค่ะ

พนักงานยิ้มแย้ม อัธยาศัยดี

แต่ข้อเสียอีกอย่างที่เรานึกได้คือ ที่นี่ไม่มีลิฟท์ 
ดังนั้น ถ้าห้องอยู่ชั้นบนๆ แล้วเอากระเป๋าใบใหญ่ไปล่ะก้อ..... แบกเหนื่อยเลยค่ะ 

สรุปโดยรวม เราค่อนข้างชอบเลย ข้อดีมีเยอะ เทียบกับราคาแล้วถือว่าโอเคมากๆ 

p.s. 
การเดินทางมาที่ Kawaguchiko ของเราไม่ได้วางแผนล่วงหน้าไว้ก่อน เนื่องจากไม่แน่ใจว่าจะสามารถซื้อตั๋วรถบัสจากเกียวโตมาที่ Kawaguchiko ได้หรือไม่ ก็เลยไม่ได้จองที่พักไว้ล่วงหน้า
มาหาที่พักกันวันก่อนเข้าพัก 1 วัน ซึ่งตอนดูในเว็บ มันขึ้นว่า Full แต่พอ message Facebook ไปถามก็พบว่ายังมีห้องว่างอยู่ค่ะ 
เพราะฉะนั้น ถึงเว็บขึ้นว่าเต็มแล้ว แต่ลองถามโดยตรงอีกทีก็ดีนะคะ

26 มกราคม 2558

Day 8-11: Tokyo (2) - Kawasaki

Day 1: Osaka กุหลาบงามกลางเดือนพฤษภาคม
Day 2: Osaka Amazing Pass
Day 3-4: Kyoto Aoi Matsuri
Day 5: Nara and Night bus to Kawaguchiko
Day 6: Kawaguchiko มาปั่นจักรยานกันเถอะ
Day 7: Fuji Shibazakura Festival
Day 8-11: Tokyo (1)
Day 8-11: Tokyo (2) - Kawasaki

∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇∆∇

บล็อกนี้จะเป็นบล็อกสุดท้ายสำหรับทริป Japan 2014 ของเราแล้วนะคะ 
การไปเมือง Kawasaki เป็นการเที่ยวใน Day 9 ของเรา แต่เนื่องจาก Day 8, 10 และ 11 เราไปรวมไว้ในบล็อกก่อนหน้านี้หมดแล้ว บล็อกนี้เลยกลายมาเป็นบล็อกสุดท้ายแบบงงๆ

วันนี้เราจะออกนอกเมืองโตเกียวกัน 
เป้าหมายของเราอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ Fujiko F. Fujio หรือพิพิธภัณฑ์โดราเอมอน ที่เมือง Kawasaki

Fujiko F. Fujio Museum




website >> http://fujiko-museum.com/english/

สำหรับการซื้อบัตรเข้าชมพิพิธภัณฑ์ Fujiko F. Fujio หรือพิพิธภัณฑ์โดราเอมอนนี้ สามารถซื้อได้ที่ร้าน Lawson จากตู้ Loppi

ตอนซื้อเราจะต้องระบุวันและรอบเวลาที่เราจะเข้าชมด้วย 
โดยเราสามารถตรวจสอบวันที่พิพิธภัณฑ์ปิดทำการได้จาก http://fujiko-museum.com/english/calendar/
ปกติจะหยุดทุกวันอังคาร แต่ถ้าวันอังคารเป็นวันหยุดราชการอยู่แล้วก็จะหยุดในวันถัดไปค่ะ
ในแต่ละวันจะมีรอบเวลา 4 รอบ คือ 10.00 12.00 14.00 และ 16.00 น.
ราคาตั๋วสำหรับผู้ใหญ่ คือ คนละ 1000 เยน

ตัวตู้ Loppi จะมีแต่ภาษาญี่ปุ่นนะคะ ถ้าใครสกิลภาษาญี่ปุ่นเป็นศูนย์แบบเรา ลองถามพนักงานดูนะคะ ให้เค้าช่วยจองให้ได้ หรือถ้าใครอยากซื้อบัตรตั้งแต่ก่อนไป เราเห็นในอินเตอร์เน็ตมีคนรับจองให้อยู่เหมือนกันค่ะ 
ตอนเราไป หน้าเว็บไม่มีสอนวิธีกดตู้เป็นภาษาอังกฤษเลย แต่ล่าสุดตอนนั่งเขียนบล็อคนี้เราลองเข้าไปดูในเว็บอีกที พบว่ามีอยู่นะคะ แต่ไม่แน่ใจว่าละเอียดพอที่เราจะสามารถกดตู้ได้เองหรือไม่ ลองดูค่ะ >> http://l-tike.com/fujiko-m/english/

การเดินทาง
สามารถไปได้หลายทาง




สำหรับเรา เราเลือกนั่งไปรถไฟไปลงที่ Noborito station แล้วนั่ง shuttle bus ต่อไปยังตัวพิพิธภัณฑ์ค่ะ เราจำค่ารถไม่ได้ เนื่องจากใช้บัตร suica แตะเพื่อจ่ายเงิน
Shuttle bus จะเป็นลายการ์ตูน มีหลายลายเลย ถ้าโชคดีอาจจะได้เจอคันที่เป็นลายโดราเอมอนเลย

วันที่เราไป อากาศค่อนข้างแย่มาก ฝนตกตลอดเวลา หนักๆเบาๆ สลับๆกัน ทำให้อากาศหนาวมากกก ตอนไปยืนรอ shuttle bus นี่หนาวจนสั่นเลย

ในส่วนของตัวพิพิธภัณฑ์ จะมีทั้งส่วนที่ถ่ายรูปได้และถ่ายรูปไม่ได้
พิพิธภัณฑ์นี้จะเป็นการรวบรวมผลงานของอาจารย์ Hiroshi Fujimoto ผู้วาดการ์ตูนเรื่องโดราเอมอนที่ทุกคนรู้จักนั่นเอง
แต่ขออนุญาตไม่สปอยนะคะว่ามีอะไรบ้าง ลองไปดูเองดีกว่าเนอะ เดี๋ยวไม่ตื่นเต้ลลล ^-^




ที่เห็นในรูปว่าไม่มีคน ไม่ใช่อะไรค่ะ ฝนตกอยู่ แต่ฝนเป็นละอองเส้นเล็กมากๆ เวลาถ่ายรูปออกมาเลยมองไม่ค่อยเห็น

ภายในพิพิธภัณฑ์ นอกจากจะมีการแสดงผลงานของอาจารย์ Fujimoto แล้ว ยังมีส่วนที่เป็นคาเฟ่และร้านขายของที่ระลึกด้วย

จริงๆ มีของที่อยากได้เยอะเลย แต่สุดท้ายยอมตัดใจ เพราะรู้ว่าถึงซื้อกลับมา มันก็จะต้องไม่แคล้วโดนฝุ่นเกาะอยู่ในตู้โดยที่ไม่มีใครไยดีแน่ๆ เลยซื้อมาแค่โปสการ์ดแผ่นเดียว กับไปเล่นกาชาปองเป็นของฝากให้เพื่อนๆ ที่เมืองไทย
เราเล่น 3 ครั้ง กว่าจะได้ตัวโดราเอมอน แถมครั้งที่ได้ เพื่อนเป็นคนเล่นให้อีกต่างหาก
ส่วนเพื่อนเรา นางเล่น 2 ครั้ง ได้โดราเอมอน 2 ตัวเลย (นางมีดวงด้านนี้จริงๆ)


ออกจากพิพิธภัณฑ์โดราเอมอน เรากับเพื่อนก็นั่ง Shuttle bus กลับไปที่ Noborito station (จริงๆ แล้ว อยากเดินอยู่นะคะ แต่ฝนยังตกอยู่ เลยนั่งรถดีกว่า)

วันนี้ เราไม่มีแพลนอะไรกันแล้ว แต่ยังเหลือเวลาอีกตั้งครึ่งวันแน่ะ
ระหว่างอยู่ที่สถานี Noborito station เพื่อตัดสินใจว่าจะไปไหนต่อดีกันนั่นเอง เพื่อนเราก็เข้าไปในเว็บ Tripadvisor ลอง search สถานที่ท่องเที่ยวที่อยู่ในบริเวณนั้นดู ก็เลยไปค้นพบสถานที่แห่งหนึ่ง 
รีวิวใน Tripadvisor ส่วนใหญ่เห็นมีแต่ฝรั่งไป แล้วรีวิวออกมาค่อนข้างดีเลย คนชอบกันเยอะ สุดท้ายเรากับเพื่อนก็เลยตัดสินใจจะไปกัน

Nihon Minka-en หรือ Japan open-air folk house museum

ระหว่างที่อยู่ใน Noborito station นี้ ฝนเริ่มซา ดูจากระยะทางแล้ว คิดว่าน่าจะพอเดินได้ เรากับเพื่อนเลยตัดสินใจเดินกันค่ะ 
จากสถานีใช้เวลาเดินประมาณ 30 นาที
(จริงๆ ถ้าเดินไปจาก Fujiko F. Fujio museaum จะใกล้กว่าเดินไปจาก Noborito station อีก เหอะๆ ค้นพบช้าไปหน่อยนึง)


ระหว่างทางเดินไปก็จะเจอป้ายที่พื้นแบบนี้ แสดงว่ามาถูกทางแย้วววว

ส่วนการเดินทางจริงๆ แบบสามารถเตรียมตัวมาก่อนได้ มีหลายวิธีลองเลือกกันได้ตามสะดวก



ที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์หมู่บ้านญี่ปุ่นโบราณ โดยเค้าจะจำลองบ้านญี่ปุ่นจากภูมิภาคต่างๆ รวมกันไว้ เนื้อที่ค่อนข้างเยอะเลยค่ะ เรากับเพื่อนเดินไม่ทั่ว เพราะกว่าจะไปถึงก็ 4 โมงนิดๆแล้ว และที่นี่ปิดเวลาประมาณ 5 โมง

วันที่เราไป เงียบมากกกกกกกกกกกก (ก. ไก่ล้านตัว)
มีเรา เพื่อน คุณลุง รปภ. และคุณลุงคุณป้าชาวญี่ปุ่นอีก 1 คู่ นอกนั้นไม่มีใครเลย ท่ามกลางพื้นที่อันกว้างขวาง
แถมพอเดินๆ ไปก็เหลือเรากับเพื่อนกันสองคน บรรยากาศวังเวงเล็กๆ (เพราะเริ่มเย็นแล้ว) สถานที่นี้เป็นของเราสองคนจริงๆค่ะ 





ภายในตัวบ้านบางหลังจะมีการจัดพวกของใช้ เตา อะไรแบบนี้ไว้ด้วยค่ะ 
ได้บรรยากาศมาก เราชอบที่นี่มากกว่า Museum of Housing and living ที่โอซาก้ามากๆ อันนั้นดูเฟคๆ อันนี้ดูจริงกว่ากันเยอะะะ คุ้มค่าเข้าชม 500 เยนมากๆ
ไม่รู้จะบรรยายยังไงจริงๆ เป็นการมาที่นี่แบบฟลุ๊คๆ แล้วประทับใจ 555+

ใครที่มาเมืองนี้เพื่อชมพิพิธภัณฑ์โดราเอมอนอยู่แล้ว และมีเวลาเหลือ แนะนำให้มาที่นี่ด้วยค่ะ อย่าได้พลาด

ติดกันจะมีพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์อยู่ด้วย แต่แน่นอนว่ากว่าเราจะเดินออกจาก Nihon Minka-en มันก็ปิดแล้ว ถ้าใครมีเด็กๆ มาด้วยอาจจะลองเข้าไปดูได้ค่ะ

เราขอปิดทริป Japan 2014 ของเราตรงนี้เลยแล้วกันนะคะ 



เจอกันอีกทีทริปหน้า Japan 2015 คราวนี้เราจะไปตามหาซากุระตอนเดือนเมษากัน
โดยครั้งหน้า เราจะไปซ้ำที่ Kansai อีกรอบนึง เป็นเวลา 7 วันเต็ม และแน่นอนว่ารอบหน้าจะต้องไป Himeji castle ที่กำลังจะรีโนเวทเสร็จสมบูรณ์ในปลายเดือนมีนาคม 2015 และ Universal Studio Japan ที่ตอนนี้เปิดโซน Harry Potter อย่างสมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว

p.s. เราหลงรักเกียวโตมากๆ ชอบคันไซมากกว่าคันโต ถ้ายกภูเขาไฟฟูจิมาไว้ที่นี่ได้อีกอย่างจะ perfect มากเลย <3